ข่าว

"สมคิด" สั่งทีมเศรษฐกิจ ช่วย "นายกฯ" สู้ซักฟอก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"สมคิด" สั่งทีมเศรษฐกิจ ช่วย "นายกฯ" สู้ซักฟอก "ลุงมิ่ง" นัดแถลงหลังพรรคทิ้งฝ่ายค้าน

 

               “สมคิด” สั่งลูกทีมเศรษฐกิจเตรียมข้อมูลแบ็กอัพ “นายกฯ” สู้ศึกซักฟอก ลั่นอย่าให้นายกฯ โดดเดี่ยว ส่วน พปชร.สั่งวิปรัฐบาลเตรียมพร้อมรับอภิปรายนอกกรอบโยง คสช. ด้านฝ่ายค้านลั่นหากรัฐบาลตุกติกชิงปิดอภิปรายเจอดีแน่ ขณะที่ "ลุงมิ่ง" นัดวันนี้แถลงจุดยืนหลังเศรษฐกิจใหม่ทิ้งฝ่ายค้าน

อ่านข่าว-แทบไม่มีดี...เช็กประเด็นทำไมรัฐบาลถูกซักฟอก

 

               ความคืบหน้าการรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม สั่งการบ้านในระหว่างการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 31 มกราคม ให้ทุกฝ่ายเตรียมข้อมูลให้พร้อม โดยเฉพาะกรณีที่ฝ่ายค้านจะหยิบยกเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจขึ้นมาอภิปรายนั้น

 

“สมคิด”สั่งลูกทีมแบ็กอัพ“บิ๊กตู่”

 

               ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยกับทีมเศรษฐกิจพร้อมสั่งให้ทุกคนช่วยนายกฯ ชี้แจงในการอภิปรายเรื่องเศรษฐกิจ โดยย้ำว่าอย่าปล่อยให้นายกฯ โดดเดี่ยว เพราะเชื่อว่าหลังฝ่ายค้านตัดชื่อนายสมคิดและนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ออกแล้ว ฝ่ายค้านล็อกเป้าอภิปรายเรื่องเศรษฐกิจมาที่นายกฯ เพราะรู้ว่านายกฯ ไม่เชี่ยวชาญเรื่องเศรษฐกิจ โดยจะใช้วิธีขอให้รัฐมนตรีแต่ละคนลุกขึ้นชี้แจงแทนในฐานะที่รับผิดชอบงานโดยตรงในแต่ละด้าน

 

               ด้านนายสนธิรัตน์ จิรสนธิวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ขณะนี้ทราบว่ามีความชัดเจนในเรื่องบุคคลแล้วจึงพอจะเห็นประเด็นว่าฝ่ายค้านจะหยิบประเด็นใดมาอภิปราย จากข้อกล่าวหาต่างๆ โดยจะมีการเตรียมข้อมูลอภิปรายในส่วนข้อกล่าวหานั้นๆ อีกทั้งต้องดูว่าข้อกล่าวหาจะเกี่ยวกับกระทรวงใดบ้าง

 

               ซึ่งเบื้องต้นได้เตรียมการไว้หมดแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะหยิบประเด็นใดมาจึงต้องคิดตามเนื้อหา พรรคมั่นใจว่ารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกคนและรัฐบาลจะตอบคำถามของฝ่ายค้านได้

 

สั่งวิปรัฐบาลเตรียมข้อมูลสู้

 

               เมื่อถามว่าในการอภิปรายดูเหมือนญัตติพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมทั้งอาจมีการเชื่อมโยงไปถึงการบริหารงานในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นห่วงหรือไม่ นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ไม่หนักใจขึ้นอยู่กับกรอบอภิปรายว่าสามารถอภิปรายในกรอบได้มากน้อยแค่ไหน

 

               แต่มองว่าการอภิปรายต้องพุ่งเป้าในกรอบการทำงานของรัฐบาลเป็นตัวตั้ง และเชื่อว่านายกรัฐมนตรีสามารถตอบคำถามและข้อข้องใจในสิ่งที่ฝ่ายค้านสงสัย จึงไม่มีอะไรหนักใจ แต่ยอมรับหนักใจหากมีการอภิปรายนอกกรอบในสิ่งที่ไม่ควรหยิบยกมาอภิปราย จึงต้องดูตอนนั้นอีกครั้งว่าสิ่งที่อภิปรายนั้นเหมาะสมหรือไม่

 

               ซึ่งต้องรอให้วิปทั้งสองฝ่ายหารือกันถึงกรอบการอภิปราย เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ เพราะการอภิปรายเป็นการตรวจสอบรัฐบาล รัฐบาลเองก็มีหน้าที่ชี้แจง ส่วนที่หลายฝ่ายเป็นห่วงเรื่องอารมณ์ของนายกฯ นั้น ไม่กังวล เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำ แต่อาจมีบุคลิกพิเศษ ไม่ต้องกังวล

 

               ส่วนที่หลายฝ่ายห่วงว่าจะขุดเรื่องเก่าในอดีตยุค คสช. เช่น เรื่องการยืมแหวนและนาฬิกา เป็นต้นนั้น นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ย้ำว่าต้องให้วิปรัฐบาลพูดคุยกันกับฝ่ายค้านถึงกรอบการอภิปรายที่เหมาะสม แต่เรื่องข้อมูลทุกคนที่ถูกอภิปรายก็จะรู้อยู่แล้วว่าทำอะไร มีข้อเท็จจริงอยู่แล้วในหลักการ ดังนั้นเรื่องข้อมูลเป็นหน้าที่ต้องจัดเตรียม

 

               เมื่อถามว่าวันนี้ดูเหมือนเสียงของรัฐบาลในสภาเข้มแข็งมากขึ้น แต่ห่วงว่าเสียงประชาชนนอกสภาอ่อนแอลงหรือไม่ นายสนธิรัตน์กล่าวว่า กลไกการอภิปรายถือเป็นกลไกการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และหน้าที่รัฐบาลคือตอบข้อซักถามให้ได้ จึงเชื่อว่าเชื่อประชาชนจะตัดสินหากรัฐบาลตอบได้ และถือเป็นโอกาสของรัฐบาลในการชี้แจงและตอบข้อกล่าวหา ขณะเดียวกันมั่นใจว่าพรรคร่วมจะผนึกกำลังและช่วยกันชี้แจงในการอภิปราย

 

เผยมิ่งขวัญร่วมซักฟอกรัฐบาล

 

               นายสนธิรัตน์ กล่าวถึงฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยตอบถามกรณีมีความชัดเจนหรือยังว่า 5 เสียงในพรรคเศรษฐกิจใหม่ จะมาร่วมรัฐบาล ว่าพรรคเศรษฐกิจใหม่ยังยืนอยู่ตรงกลาง แต่ทราบว่านายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ จะเป็นผู้อภิปรายในครั้งนี้ด้วย จึงยังพูดไม่ได้ว่า 5 เสียงของพรรคเศรษฐกิจใหม่ที่ประกาศถอนตัวจากพรรคฝ่ายค้านจะมาสนับสนุนรัฐบาล ส่วน 3 ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยที่ถูกคาดโทษนั้นก็เช่นเดียวกัน ยังไม่มีการพูดคุย เพราะปัจจุบันยังสังกัดพรรคเพื่อไทย และเป็นการคาดโทษภายในพรรค

 

ชี้ปชป.รอดเหตุไม่เข้า 4 เกณฑ์เชือด

 

               นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคและประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวม 6 คน โดยไม่มีรัฐมนตรีของพรรค ปชป. ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเพราะเป็นเกมการเมืองของฝ่ายค้านว่ามองว่าการที่รัฐมนตรีของพรรคปชป.ไม่มีชื่อถูกอภิปราย ไม่ใช่เกมการเมืองที่ฝ่ายค้านต้องการให้รัฐบาลสั่นคลอนแต่อย่างใด

 

               เพราะโดยทั่วไปการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะอยู่บนพื้นฐานหลักการ 4 ประการคือ 1.ทุจริต 2.ทำผิดกฎหมาย 3.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่เพื่อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง และ 4.มีคุณสมบัติหรือพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับการเป็นรัฐมนตรี ซึ่งการที่รัฐมนตรีท่านใดไม่ถูกอภิปรายก็แสดงว่ายังไม่เข้าข่ายตามหลัก

 

ผบ.ทอ.ไม่หวั่นฝ่ายค้านซักฟอก

 

               ที่สถานีรายงานดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเตรียมข้อมูลสนับสนุนรัฐบาลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า กองทัพอากาศมีความพร้อมเพราะเรามีความบริสุทธิ์ใจและมีข้อเท็จจริงที่พร้อมจะชี้แจง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่เกรงกลัวการอภิปราย เพราะสิ่งที่จะชี้แจงเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงไม่มีเฟคนิวส์ ตอนนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษเพราะทุกอย่างทำด้วยความโปร่งใส

 

               เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายค้านอภิปรายเรื่องงบประมาณของกองทัพ พล.อ.อ.มนัส กล่าวยืนยันว่ากองทัพใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าที่สุด ไม่เคยละลายภาษีของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้จ่าย การปฏิบัติงานในหน้าที่ เพราะเราใช้จิตวิญญาณในการทำหน้าที่สมบูรณ์ที่สุดเพื่อประหยัดงบประมาณ เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นคือภาษีประชาชนที่ต้องทำทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด รวมถึงรัดกุมและโปร่งใส ส่วนกรณีการใช้งบลับนั้น เรามีขั้นตอนในการใช้จ่ายและเป็นไปด้วยความโปร่งใส สามารถชี้แจงได้

 

“สุทิน”ฮึ่มอย่าใช้เกมปิดอภิปราย

 

               ด้านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นหลักๆ ที่พรรคพท.จะอภิปราย ว่าก็เรื่องความล้มเหลวในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม เช่น ปัญหายาเสพติด เน้นไปที่เศรษฐกิจและสังคมเป็นหลัก ส่วนการเมือง จะมีเรื่องของการทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างไม่หยุดยั้ง และการทุจริต ซึ่งเรามีหลักฐาน โดยเราจะชี้ให้เห็นว่าใครเป็นคนทำ และทำอย่างไรบ้าง ผลจึงได้ออกมาแบบนี้

 

               เมื่อถามว่าฝ่ายรัฐบาลขู่ว่าหากพูดย้อนไปถึงเรื่อง คสช.ในอดีตอาจจะเสนอปิดอภิปราย นายสุทิน กล่าวว่า ต้องคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ซึ่งจะพูดความผิดในรัฐบาลนี้ของคุณอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่จะมาตัดตอนพูดเฉพาะเรื่อง 7 เดือนที่ผ่านมาได้ ก็ต้องมีการท้าวความให้คนฟังได้รู้ว่า ความผิดนี้สารตั้งต้นมาจากไหน ประเด็นเหล่านี้จะไม่ให้พูดได้อย่างไร

 

               ถ้าสุดท้ายแล้วฝ่ายรัฐบาลเลือกใช้เกมปิดปากฝ่ายค้านโดยการเสนอปิดอภิปราย ฝ่ายค้านมีแผนเอาไว้แก้เกมหรือไม่นั้น ถ้าคุณกล้าทำอย่างนั้นก็ลองดู ประชาชนเขารอดูอยู่ทั้งประเทศแล้วคุณจะมาปิดต่อหน้าต่อตาเขา ถ้าใจคุณด้านพอก็ลองทำดู ทั้งนี้เรามีแผนของเรา ซึ่งตั้งใจจะอภิปรายตามระเบียบและข้อบังคับตามรัฐธรรมนูญทุกประการ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนปั่นป่วนสร้างสถานการณ์เสียเอง คุณจะต้องได้รับบทเรียนจากสังคม เพระาการอภิปรายครั้งนี้เป็นการอภิปรายที่สังคมจับตามองมากที่สุด

 

‘อนุดิษฐ์’ชำแหละ‘บิ๊กตู่’3ปมใหญ่

 

               ด้าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ยืนยันว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีรวม 6 คน ผู้อภิปรายทุกคนจะใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบมาแล้วเท่านั้น จะไม่มีการอภิปรายใส่ร้ายป้ายสีอย่างเด็ดขาด ผู้อภิปรายทุกคนจะยึดเอาเนื้อหาที่เป็นผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง

 

               ยังยืนกรอบการอภิปรายไว้ 3 ด้านเหมือนเดิมคือ 1.ความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต่อทุกปัญหาของรัฐบาล 2.การทุจริตจากการออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ และ 3.การทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นในหลายโครงการและหลายกระทรวง

 

               “การอภิปรายครั้งนี้ผมหวังว่าเราคงจะไม่เห็นความพยายามในการที่จะหามือมาโหวตให้ชนะฝ่ายค้านในสภาอีก เพราะไม่ว่าจะมาในรูปแบบของงูเห่า หรือการแจกกล้วยให้ลิงก็ถือเป็นการกระทำที่ไร้อุดมการณ์ เพราะจำนวนมือในสภาย่อมไม่มีค่าเท่ากับความศรัทธาของประชาชน แม้รัฐบาลจะชนะเสียงโหวตในสภาแต่หากไม่สามารถสร้างศรัทธาให้ประชาชนได้ เสียงข้างมากที่เกิดจากกลุ่มงูเห่าหรือการแจกกล้วยก็ไร้ความหมาย” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

 

‘ย้อนลูกหาบรัฐบาลเลอะเทอะ

 

               ขณะที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวม 6 คน ว่าความรู้สึกอารมณ์ร่วม ความเห็นพ้องต้องกันของประชาชนตกผลึกและไปไกลเกินกว่าปฏิทินการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไปหาคำตอบมาว่าทำไมระยะเวลา 6 ปีที่ไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

 

               แต่คะแนนความนิยมทั้งส่วนตัว พล.อ.ประยุทธ์ และของรัฐบาลตกต่ำลงเรื่อยๆ แทบทุกด้าน เรามาถึงจุดที่มีการปั่นไอโอว่าคนเสนอแนะหาแนวทางแก้ไขปัญหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กลายเป็นคนไม่รักชาติ คนร้องส.ส.เสียบบัตรแทนกันกลายเป็นพวกไม่รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย พรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจใช้กลไกในระบบรัฐสภาเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบรัฐบาลตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญกลายเป็นกลุ่มคนไม่หวังดีต่อประเทศชาติ

 

               "ลูกหาบฝ่ายรัฐบาลอย่าออกมาแสดงอาการเลอะเทอะ ห้ามอภิปรายเรื่องเก่า ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของคนที่ออกมาพูด ผู้ที่จะทำหน้าที่วินิจฉัยให้พูดได้หรือไม่คือประธานสภา การมาตั้งท่าจะประท้วงตีรวน ขู่เสนอปิดอภิปราย ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ เบื่อหน่าย กลายเป็นการเมืองน้ำเน่ารีรัน" นายอนุสรณ์กล่าวว่า

 

“มิ่งขวัญ”นัดแถลงจุดยืน 3 ก.พ.นี้

 

               วันเดียวกัน นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่ อดีตหัวหน้าพรรค โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กกรณีเตรียมแถลงจุดยืนมติพรรคเศรษฐกิจใหม่ขอแยกทางกับฝ่ายค้านว่า “ตามที่มีข่าวการถอนตัวจากพรรคร่วมฝ่ายค้านของพรรคเศรษฐกิจใหม่ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 ทำให้เกิดกระแสการแสดงความคิดเห็นต่อผมจากสื่อมวลชนและสังคมอย่างกว้างขวาง

 

               อนึ่ง หลังจากได้รับทราบข้อมูล และ ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ผมเองตั้งใจจะแถลงข่าวที่รัฐสภาในตอนบ่ายของวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563 แต่ได้รับทราบจากสื่อมวลชนว่าวันนั้นเป็นวันศุกร์สิ้นเดือน สื่อมวลชนได้ทยอยออกไปจากรัฐสภาแล้ว และสื่อมวลชนบางท่านแนะนำว่าให้เลื่อนวันแถลงข่าวออกไปเพื่อจะได้มีเวลาในการแจ้งข้อมูลต่อสำนักข่าวต่างๆ ให้ทราบล่วงหน้า

 

               เนื่องจากวันถัดมาเป็นวันหยุดราชการเสาร์–อาทิตย์ และผมมีความประสงค์ที่จะแถลงข่าวที่รัฐสภา จึงได้รับคำแนะนำว่าให้นัดแถลงข่าวในวันจันทร์ ดังนั้นผมจึงขอแจ้งกำหนดการแถลงข่าวต่อท่านสื่อมวลชนดังต่อไปนี้ วันนทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 11.00 น. สถานที่ ห้องแถลงข่าวรัฐสภา”

 

พท.ปัดไม่พอใจ‘เศรษฐกิจใหม่’

 

               นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีที่นายมนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ (ศม.) ให้เหตุผลในการถอนตัวจากการเป็นฝ่ายค้าน ระบุผู้ใหญ่บางคนให้พรรค ศม.กลับไปทบทวน ซึ่งพรรค ศม.ก็มาทบทวนกันสักพักตามที่บอก ก่อนสุดท้ายจะมีการตัดสินใจเป็นมติพรรคมีจุดยืนไม่ใช่นอมินีหรือสาขาพรรคของใคร

 

               ทุกอย่างต้องยึดมติพรรคว่ากรณีที่เกิดขึ้นในฐานะวิปฝ่ายค้านขอชี้แจงว่า ในการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านวันที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมา ผู้แทนจากพรรค ศม.ได้ถามขึ้นมาว่าจะให้พรรคทำตัวอย่างไร ซึ่งที่ประชุมพรรคร่วมก็ให้คำตอบว่าให้ทำตัวให้ชัดเจนเพราะมีผลต่อตัวเลข ส.ส.ฝ่ายค้าน เวลาบวกลบคะแนนจะได้ไม่มีปัญหา ซึ่งนายภาสกร เงินเจริญกุล เลขาธิการพรรค ศม. และนายอภิวัฒน์ อากาศฤกษ์ นายทะเบียนพรรค ศม. ก็รับทราบถึงข้อห่วงใยของพรรคร่วมฝ่ายค้าน

 

               นอกจากนี้พรรค ศม.ได้แจ้งที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านจะกลับไปประชุมที่พรรคและทบทวนตัวเอง โดยในที่ประชุมก็ไม่มีการพูดอะไรที่ทำให้พรรค ศม.ไม่สบายใจ ไม่มีการไล่ หรือไม่พอใจอะไร เพราะที่ผ่านมาก็ทำงานร่วมกันมาด้วยดีตลอด แต่ด้วยสมาชิกพรรคร่วมฝ่ายค้านมีจำนวนหลายพรรคการเมืองก็อยากขอความชัดเจนทุกพรรคการเมืองเพื่อร่วมกันทำงานในเรื่องอื่นต่อไป ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านให้เกียรติกันในการทำงานแต่ละพรรคการเมืองไม่มีการก้าวก่ายกัน แต่ในการทำงานทุกพรรคก็ไว้วางใจกัน

 

“ศรีสุวรรณ”ยื่นสอบปมพรรคไทรักธรรม

 

               วันเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับการร้องเรียนจากอดีตเลขาธิการพรรคและกรรมการบริหารพรรคไทรักธรรมว่าการดำเนินกิจการพรรคไทรักธรรมอาจไม่เป็นไปตามข้อบังคับพรรค ไม่เป็นไปตามพ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 (พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560) อาจมีการจัดทำรายงานส่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นเท็จ

 

               ซึ่งอาจเป็นผลให้การเลือกตั้งของพรรคไทรักธรรมเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 และส.ส.ของพรรคเป็นโมฆะได้ เนื่องจากการที่พรรคไทรักธรรมอ้างว่ามีการจัดประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2562 ที่วัดตาปะขาวหาย ต.หัวรอ อ.เมือง จ.พิษณุโลกเพื่อรับรองผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคจำนวน 350 คน แต่สมัครจริง 298 คน เพื่อส่งสมัครรับเลือกตั้งในการเปิดรับสมัครของ กกต.ระหว่างวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์นั้น

 

               นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า เพื่อให้ความชัดเจนในเรื่องนี้สมาคมและอดีตกรรมการบริหารและอดีตสมาชิกพรรคไทรักธรรมจึงจะนำพยานหลักฐานไปยื่นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ดำเนินการไต่สวน สอบสวน เพื่อดำเนินการเอาผิดต่อหัวหน้าพรรคไทรักธรรม ที่อาจกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 ที่สำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการ อาคารบี ถนนแจ้งวัฒนะ หลักสี่ กทม.

 

โพลล์ชี้นายกฯ-รัฐบาลสอบตกคะแนนร่วง

 

               ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 2,429 คน ระหว่างวันที่ 25 มกราคม-1 กุมภาพันธ์ เป็นการสำรวจดัชนีการเมืองไทยเดือนมกราคม 2563 โดยภาพรวมความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อ “ดัชนีการเมืองไทยเดือนมกราคม 63” ได้คะแนน 3.88 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนนตกลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ทั้งนี้จำแนกตามตัวชี้วัด 25 ประเด็น พบว่าผลงานของนายกรัฐมนตรี เหลือ 3.63 คะแนน จากเดือนธันวาคม 2562 ได้คะแนน 4.07 ส่วนผลงานของรัฐบาลอยู่ที่ 3.56 คะแนน จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 4.14 คะแนน

 

               ทั้งนี้การแก้ปัญหาความยากจนมีคะแนนต่ำสุด ได้ 3.05 คะแนน ตามด้วยราคาสินค้า 3.08 คะแนน การแก้ปัญหาการว่างงาน 3.22 คะแนน การบริหารประเทศตามนโยบายที่ประกาศไว้ 3.39 คะแนน ความเป็นอยู่ของประชาชน 3.40 คะแนน การมีส่วนร่วมของประชาชนและองค์กรอิสระ 3.41 คะแนน ค่าครองชีพ/เงินเดือน/ค่าจ้าง/สวัสดิการ 3.42 คะแนน การแก้ปัญหาต่างๆของรัฐบาลในภาพรวม 3.53 และการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น 3.55 คะแนน

 

               ถามถึงข้อเสนอแนะทางด้านการเมือง ณ วันนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจคิดเป็น 36.92% อยากให้เร่งแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น พีเอ็ม 2.5 และไวรัสโคโรนา ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน 30.32% อยากให้ปฏิรูปการเมืองไทยให้เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ เป็นประชาธิปไตย 25.12% อยากเห็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อปากท้องที่ดีขึ้น 19.79% เกิดการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง และ 15.86% ขอให้ดูแลเงินเดือน สวัสดิการ สิทธิประโยชน์ต่างๆ อย่างเท่าเทียม

 

“ปู”โผล่บอกอยู่ไกลแต่ห่วงคนไทย

 

               วันเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Yingluck Shinawatra และทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ มีเนื้อหาดังนี้ วันนี้ถึงแม้ดิฉันจะอยู่ไกล แต่ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของพี่น้องประชาชนก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะนอกจากทุกท่านต้องเจอปัญหาเศรษฐกิจแล้วยังต้องเจอกับเรื่องอากาศเป็นพิษ ซ้ำเติมด้วยเชื้อไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นปัญหาที่ควรเร่งออกมาตรการแก้ไขในเชิงรุกอย่างเร็วที่สุด

 

               “ดิฉันจึงขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ทีมแพทย์ พยาบาล ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ด้านการสาธารณสุขทุกท่านที่ทุ่มเทในการตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวและดูแลพี่น้องประชาชน ขอให้การทำงานในครั้งนี้ลุล่วงประสบความสำเร็จ ทุกอย่างคลี่คลายไปได้ด้วยดี และหวังว่าพวกเราจะผ่านพ้นสถานการณ์ครั้งนี้ไปได้โดยเร็วค่ะ”

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ