พปชร.เมืองคอนส่งชื่อ"อำนวย ยุติธรรม"ให้พรรคส่งชิงนายก

 

 

            ผู้สื่อข่าวงานว่าหลังจากที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสังกัดพรรคพลังประชารัฐ 4-5 คน เดินทางลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2563 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะ ดร.สนธิรัตน์   สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และเลาขาธิการพรรคพลังประชาชน เดินทางมาเป็นประธานในพิธีบวงสรวง เก็บเกี่ยวข้าวในแปลงนาพุทธภูมิ ริมถนนพุทธภูมิ หมู่ 1 ต.มะม่วงสองต้น  อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช  ก่อนจะเดินทางไปยังศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ จังหวัดนครศรีธรรมราช ริมถนนอ้อมค่าย หมู่ 5 ต.ปากพูน  อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พบปะกับคณะทำงานของพรรคทั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราชและภาคใต้รวมทั้งสมาชิกพรรคแลประชาชนกว่า 300 คนมาคอยต้อนรับ

            หลังจากพบปะพูดคุยกับสมาชิกพรรค และประชาชนเรียบร้อยแล้ว จึงได้เข้าร่วมประชุมคณะทำงานพรรคพลังประชารัฐภาคใต้ เพื่อพิจารณาตัวผู้ยื่นความประสงคสมัครชิงตำแหน่งนายก อบต.นครศรีธรรมราช โดยมี รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ  นายสายัณห์ ยุติธรรม นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง 3 ส.ส.ของจังหวัดนครศรีธรรมราช และ ส.ส.พร้อมอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐในภาคใต้หลายจังหวัด นายปรีชา แก้วกระจ่าง หัวหน้าศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐจังหวัดนครศรีธรรมราช พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล แกนนำกลุ่มด้ามขวานไทย ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ เข้าร่วมประชุม โดยไม่อนุญาติให้คนนอกรวมทั้งสื่อมวลชนเข้าไปในห้องประชุมอย่างเด็ดขาด

            โดยในที่ประชุมได้มีการนำรายชื่อผู้ยื่นความประสงค์สมัครชิงตำแหน่งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช จำนวน 5 คนมาร่วมกันพิจารณา โดย 1 จำนวนนั้นมีนายอำนวย ยุติธรรม รองนายก อบต.ท่าขึ้น อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช น้องชายของนายสายัณห์ ยุติธรรม ส.ส.เขต 7 พรรคพลังประชารัฐ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็น 1 ในผู้ยื่นความประสงค์ขอลงสมัครนายก อบข.นครศรีธรรมราช ในนามพรรคพลงประชารีฐ รวมอยู่ด้วย  ซึ่งในที่ประชุมส่วนใหญ่สนับสนุนนายอำนวย ยุติธรรม และมีมติเสนอนายอำนวย ยุติธรรม เป็นผู้ลงสมัครชิงตำแหน่ง นายก อบจ.นครศรีธรรมราช ซึ่งนายปรีชา แก้วกระจ่าง ผ้ำนวยการศูนย์ประสานงานพรรคพลังประรัฐจังหวัดนครศรีธรรมราช จะนำมติของคณะทำงานจังหวัดนครศรีธรรมราชและภาคใต้เสนอต่อคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ พิจารณาในลำดับต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะทำงานและผู้สนับสนุนของผู้เสนอตัวชิงตำแหน่งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช แต่ละคนพยายามเข้าพบรัฐมนตรี เพื่อขอรับการสนับสนุน โดยเฉพาะในสายของนายอนันต์ ทองอุ่น อดีตท้องถิ่นจังหวัดมหาสารคาม ที่มีนายสัณหพจน์ สุขศรีเอง ส.ส.เขต 3 พรรคพลังประชารัฐจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นผู้ติดามและคณะทำงานของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ให้การสนับสนุน  แต่จนถึงขณะนี้คาดว่าผู้ที่จะได้รับการพิจารณาจากผู้หลักผู้ใหญ่และคณะกรรมการบริการพรรคพลังประชารัฐ น่าจะเหลือเพียง 2 คนเท่านั้นคือนายอำนวย ยุติธรรม และนายพิชัย บุณยเกียรติ อดีตนายก อบจ.นครศรีธรรมราชและอดีต  สว.นครศรีธรรมราช น้องชายของนายชิณวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

สำหรับนายพิชัย บุณยเกียรติ  ในอดีตถือว่าเป็นลูกหม้อของพรรคประชาธิปัตย์มาอย่างยาวนาน และเกิดความขัดแย้งในทางการเมืองกับขั้วการเมืองฝ่ายนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค  เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ ให้การสนับสนุนให้นายเทไท เสนพงศ์ ส่งนายมาโนชเสนพงศ์ น้องชายนายเทพไท ลงชิงตำแหน่งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช เมื่อการเลือกตั้ง พ.ศ. 2557 ผลการเลือกตั้งนายพิชัย บุณยเกียรติ ได้ 192,062 คะแนน พายแพ้นายมาโนช เสนพงศ์ ที่ได้ 262,943 คะแนน จนนายพิชัย ได้ยื่นร้องเรียน กกต.กล่าวหานายมาโนช ทุจริตการเลือกตั้งและทาง กตต.และศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีมติให้ใบแดง ซึ่งศาลอุทธรณ์ (ภาค 8) พิจารณาให้ใบแดงนายมาโนช เสนพงศ์ และให้ กกต.แจ้งความดำเนินคดีอาญากับนายมาโนช  เสนพงศ์ และนายเทพไท เสนพงศ์ พร้อมพวกพร้อมยังฟ้องทางเพ่งเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 61 ล้านกับนายมาโนช เสนพงศ์ อีก 1 คดี

            โดยคดีทุจริตการเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรมราช ในปัจจุบันอยู่ในขันพิจารณาของอัยการสูงสุด ยังไม่สั่งฟ้องยืดเยื้อมานานกว่า 2 ปี จนนายพิชัย บุณยเกียรติ ในฐานะผู้ร้องและผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องส่วนตัวต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ตาคดีหมายเลขดำที่ อ.174 /2562  ความระหว่างตนซึ่งเป็นผู้ร้อง กับนายมาโนช เสนพงศ์ ที่ 1  และนายเทพไท เสนพงศ์ จำเลยที่ 2 โดยทั้งคู่ได้เข้ามอบตัวต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่2562 และประกันตัว โดยในวันที่ 21 ต่อเนื่องวันที่ 22 และ วันที่ 23  มกราคม 2563 ที่ผ่านมานศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชได้นัดสืบพยานโจทก์และจำเลยให้แล้วเสร็จ  แต่นายเทพ ไท และนายมาโนช จำเลย ก็เลื่อนนัดออกไประยะหนึ่ง แต่คาดว่าคดีนี้จะดำเนินการเสร็จสิ้นตามขั้นตอนและศาลจะพิพากษาไม่เกินเดือน มิ.ย. 2563 นี้อย่างแน่นอน

            ซึ่งในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งที่ผ่านมานายพิชัย บุณยเกยีติ ได้เข้าเจรจาตกลงกับผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐ  และตกลงให้นายพิชัย ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มาสมัครเป็นสมาชิกและเป็นผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 65 พรรคพลังประชารัฐ โดยมีการสัญญาลูกผู้ชายว่าหากผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐจำนวน 8 เขต สามารถชนะการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้อย่างน้อย 1 คนพรรคจะส่งนายพิชัย ส่งสมัครชิงตำแหน่งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช  และในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมานายพิชัย ได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจและทุนทรัพย์ ตระเวนขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงให้ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐทุกเขตอย่างต่อเนื่อง และเป็นผู้ปราศรัยหลักที่สามารถนำนโยบายของพรรคพลงประชารัฐ มาชี้แจทำความเข้าใจกับประชาชนได้ดีที่สุดในบรรดาผู้สมัครและผู้ข้นเวทีปราศรัยหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐจังหวดนครศรีธรรมราช ทำให้ผลการเอกตั้งพรรคพลังประชารัฐ ชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส. 3 คน ประกอบด้วย นศ.ดร.รงค์ บุณสวยขวัญ เขต 1 นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง เขต 2 และนายสายัณห์ เขต 7

            อย่างไรก็ตามหลังการเลือกตั้งอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งเคยเป็น ส.อบจ.นรศรีธรรมราช และทีมงานส่วนใหญ่ ไม่ให้การสนับสนุนนายพิชัย ในการเสนอตัวชิงตำแหน่ง นายก อบจ.นครศรีธรรมราช และมีผู้เสนอตัวคนอื่น ๆ ให้คณะทำงานพิจารณา 4 คน ประกอบด้วยนายถาวรวัฒน์ คงแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นายอนันต์ ทองอุ่น ท้องถิ่นจังหวัดมหาสารคาม และ พล.ต.ธีร์ณฉัฏฐ์ จินดาเงิน และนายอำนวย ยุติธรรม  ซึ่ง ส.ส.และทีมงานในระดับพ้นที่ส่วนใหญ่ใหการสนับสนุนนายอำนวย ยุติธรรม ดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจนถึงขณะนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สร้างความหนักใจให้กับผู้หลักผู้ใหญ่และคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เป็นอย่างมาก เพราะในจำนวน 2 คนที่ถือว่าเขารอบสดท้ายที่จะได้รับการพิจารณาเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช คือนายอำนวย ยุติธรรมและนายพิชย บุณยเกียรติ โดยหากมองกนรอบด้านและหากพรรคพลังประชารัฐต้องการชนะ จะพบวานายพิชัย เหมาะสมกว่านายอำนวย หลายช่วงตัว เนื่องจากนายพิชัย เป็นอดีตนายก อบจ.นครศรีธรรมราช และอดีต สว.ที่มีคะแนนมาเป็นดันอับ 1 ในสมัยเลือกตั้งนครศรีธรรมราช มี สว. จำนวน 5 คน มีคนรู้จักทั่วจังหวัดมีฐานะคะแนนเสียงที่มั่นคงอย่างน้อย 100,000 คะแนน หากได้ลงสมัครนามพรรคพลังประชารัฐมีความเป็นไปได้คอนข้างสูงที่จะชนะการเลือกตั้ง เพราะแค่หาเสียงเพื่อให้ได้อีก 40,000-50,000 คะแนนก็จะชนะการเลือกตั้งทันที

            “ในขณะที่นายอำนวย ยุติธรรม แม้จะได้รับการสนับสนับจากคณะทำงานส่วนใหญ่ในพื้นที่ แต่มีคนรู้จักและมีฐานคะแนนน้อยมาก แต่ 1-2 ตำบลของ อ.ท่าศาลาเท่านั้น การหาเสียงจึงเหมือนต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เกือบทั้งทั้งหมด และต้องคะแนนนิยมของพรรคพลงประชาชนในจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นหลัก ซึ่งโอกาสชนะมีน้อยมาก  ที่สำคัญหากพรรคไม่ส่งนายพิชัย ลงในนามพรรคนายพิชัย ก็ได้ประกาศตัวเจนแล้วว่าจะลาออกจากสมาชิกพรรคพลงประชาชนและลงสมัครในนามส่วนตัวแทน  จะทำให้ความรู้สึกของประชาชนมองพรรคพลังประชารัฐติดลบทันที ในกรณีไม่ทำตามสัญญาลูกผู้ชายที่ให้ไว้กับนายพิชัย กลายเป็นพรรคการเมืองที่ทรยศหักหลังคนที่ยอมทิ้งบ้านเก่าตัวเองมาทุ่มเทช่วยเหลือพรรคเมื่อประสบความสำเร็จก็ถีบหัวทิ้ง”

         โดยความรู้สึกดังกล่าวทางผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐเคยหักดิบในการวางตัวผู้สมัครลงชิงตำแหน่งเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 2 จ.กำแพงเพชร ที่ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ที่ถูกศาลตัดสินจำคุกจนขาดสมาชิกภาพ โดยแกนนำพรรคส่วนใหญ่สนับสนุนอดีตนักการเมือท้องถิ่นผู้กว้างขวางคนหน่งลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐแต่ในท่สุดผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคประกาศหักดิบว่าผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 2 จ.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐจะต้องเป็นนายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ บุตรชายของ พ.ต.ท.ไวพจน์  เพียงคนเดียวเท่านั้น โดยมีเหตุผลที่ว่า พ.ต.ท.ไวพจน์  เป็นผู้เสียสละยินยอมออกจากพรรคเพื่อไทยมาอยู่พรรคพลงประชารัฐ และชนะการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อเขาเดือดร้อน ต้องรับเคราะห์กรรมติดคุก ทางพรรคจะทอดทิ้งไม่ดูดำดูดีไม่ได้จะทำให้พรรคมีภาพติดลบ ขาดความน่าเชื่อถือศรัทธาไปจากความรู้สึกของประชาชนไปทันที

            ดังนั้นเมื่อมาเปรียบเทียบกับกรณีนายพิชย บุณยเกียรติ แม้พรรคจะเบี้ยวไม่ส่งในนามพรรค นายพิชัย ก็จะลงในนามส่วนตัว ซึ่งมีโอกาสชนะการเลือกตั้งไม่น้อยเช่นกัน แต่อาจจะเหนื่อยกว่าปกติ และหากนายพิชัย ไม่ชนะการเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช ผู้ที่จะชนะก็ไม่น่าจะเป็นนายอำนวย ยุติธรรม  ซึ่งโดยมีความเป็นไปได้เช่นกันที่นายพิชัย และนายอำนวย จะพ่ายแพ้ทั้งคู่ โดยผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ที่อาจจะเป็นนายสุรเชษฐ์ มาศดิตถ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และนายนนทิวรรธน์ นนทภักดิ์  คนสนิทนายวิทยา แก้วภราดัย อดีตรองหัวหน้าและ ส.ส.พรรคประชาธิชัย จะกลายเป็นเป็น “ตาอยู่”คว้าชัยชนะไปแทนก็เป็นได้ ไม่นับผู้สมัครจากพรรคอนาคตใหม่ พรรคเพื่อไทย ทั้งอาจจะได้คะแนนในหลัก 20,000-30,000 คะแนนตัดคะแนนของนายพิชัย และของนายอำนวย ไปด้วย  ในวันนี้หากพรรคพลังประชาชนต้องการปูพื้นฐานทางการเมืองทิ้งถิ่นและมีเป้าหมายในตำแหน่งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช นายพิชัย บุณยเกียรติ จึงน่าจะเหมาะสมและกำชัยชนะได้อย่างง่ายดายที่สุด

            ในเที่ยวนี้จึงขึ้นอยู่ในว่าทางผู้หลักผู้ใหญ่หรือคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนจะคิดและมองอย่างไร หากต้องการชนะกุมอำนาจและคะแนนในพื้นที่มีเพียงนายพิชัย บุณยเกียรติ คนเดียวเท่านั้นที่จะกำชับชนะได้ ชนิดนอนมา และหากผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐพ่ายแพ้การเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช จะทำให้สูญเสียโอกาสไปอย่างน่าเสยดายและยากที่จะช่วงชิงมาได้ในสมัยต่อ ๆ ไป ทางผู้หลักผู้ใหญ่จะต้องพิจารณาให้รอบคอบทุกด้าน โดยในครั้งนี้ส่งนายพิชัย ส่งชิงตำแหน่งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช โดยวางให้นายอำนวย ยุติธรรม นั่งในตำแหน่งรองนายก ฯไปก่อน 1 สมัยจนเมื่อหมดสมัย จึงค่อนส่งนายอำนวย ยุติธรรม ลงสมัครแทนและคงชนะการเลือกตั้งได้ไม่ยาก อีกทั้งในอนาคตพรคพลังอาจจะขยายผลไปถึงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนคร นครศรีธรรมราช รวมทั้งนายกเทศมตรีเมืองใหญ่ ๆ อาทิ นายกเทศมนตรีทุ่งสง เมืองปากพูน และเมืองปากพนัง  ได้ไม่ยาก ซึ่งในระยะ 4-8 ปีจะทำให้พรรคพลังประชารัฐคลองคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของจังหวัดนครศรีธรรมราชไปโดยปริยาย.

ภาพ ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช

ยุทธนะ  เตมะศิริ นครศรีธรรมราช