
ยกทฤษฎี Rational Choice ช่วยลดฝุ่นPM 2.5
นักวิชาการ มธ. ยกทฤษฎี Rational Choice ช่วยลดฝุ่นPM 2.5
นักวิชาการม.ธรรมศาสตร์ ระบุมาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM.2.5 ของรัฐบาลควรมีการสร้างสมดุลระหว่างมาตรการกดดันและมาตรการจูงใจ เพื่อให้เกิดความร่วมมือจากภาคประชาสังคมในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน พร้อมกันนี้ได้ยกแนวคิดทฤษฎีการเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผล (Rational Choice Theory) เป็นตัวช่วยในการกำหนดนโยบายรัฐแก้ไขปัญหา
ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ อาจารย์ประจำภาควิชาการบริหารรัฐกิจ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ส่วนสำคัญของปัญหาฝุ่น PM 2.5 นั้นแยกไม่ขาดจากวิถีชีวิต การจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ต้องเกิดจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสังคม งานชิ้นใหญ่ของรัฐบาลก็คือ ทำอย่างไร ให้คนในสังคมเปลี่ยนพฤติกรรมได้โดยราบรื่นและด้วยความสมัครใจ
ในเชิงวิชาการมีทฤษฎีหนึ่งที่ใช้อธิบายการตัดสินใจ และการกระทำของมนุษย์ ที่นักวิชาการในหลายสาขารวมทั้งนักกำหนดนโยบายรัฐนิยมนำไปใช้ นั่นคือ ทฤษฎีการเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผล (Rational Choice Theory) ทฤษฎีนี้มีสมมติฐานที่สำคัญว่า มนุษย์ทุกคนมีความพึงพอใจเป็นของตนเองและสามารถจัดลำดับความพึงพอใจเหล่านั้นได้ มนุษย์จะเลือก “ทางเลือก” ที่ได้ประโยชน์สูงสุดเมื่อมีข้อมูลที่ชัดเจนระหว่างทางเลือกต่างๆ ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจะมีการคำนวณก่อนการตัดสินใจกระทำการใดๆ บนพื้นฐานของความพึงพอใจและอรรถประโยชน์อยู่เสมอ การตัดสินใจ “กระทำ” เหล่านี้เองที่ก่อร่างเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม
เมื่อวิเคราะห์การแก้ปัญหามลพิษในหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จ พบว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาในหลายประเทศนั้นสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีการเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผล ตัวอย่างเช่น การแก้ไขปัญหามลพิษในมิติของการคมนาคม หลายประเทศดำเนินการในลักษณะของมาตรการจำกัดการใช้รถยนต์ส่วนตัวในรูปแบบต่างๆ เช่น มาตรการทางภาษี ทั้งการขึ้นภาษีน้ำมัน ภาษีรถยนต์ และอื่นๆ
ในขณะที่จัดสรรบริการขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชน ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีนี้แล้วจะพบว่า ความสำเร็จในการแก้ปัญหาในหลายประเทศนั้นมิได้เกิดจากมาตรการกดดันหรือบังคับเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการสร้างสมดุลระหว่างมาตรการกดดันและมาตรการจูงใจ ก่อให้เกิดความชัดเจนของ “ประโยชน์ที่จะได้รับ” ระหว่าง “ทางเลือก” สองทาง จนเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยสมัครใจ
สำหรับประเทศไทย พบว่าในหลายกรณี เช่น ด้านคมนาคม ยังขาด “ทางเลือก” ให้คนในสังคมอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเลือกที่จะให้ “อรรถประโยชน์ที่มากพอ” ที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในสังคมโดยสมัครใจ มาตรการต่างๆ ที่ใช้ในหลายประเทศจึงอาจไม่สามารถเลียนแบบมาใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบในประเทศไทยได้ นอกจากนี้ ยังมีข้อควรระวังด้วยว่า การจะบังคับใช้เพียงมาตรการกดดันเพียงอย่างเดียว อาจกลายเป็นการผลักภาระไปให้ประชาชน เมื่อสังคมอยู่ในสภาวะไร้ทางออกที่สมเหตุสมผลการเปลี่ยนแปลงก็ยากที่จะเกิดขึ้น
“ปัญหามลพิษสั่งสมมานาน คงมิอาจแก้ไขได้ในเร็ววัน การเน้นแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเดียวก็กินเวลาไม่น้อยเช่นกัน การแก้ไขปัญหามลพิษจึงต้องดำเนินการทั้งระยะสั้นและระยะยาวไปพร้อมกัน หากรัฐบาลต้องการออกมาตรการกดดัน อาจต้องสร้างมาตรการจูงใจเพิ่มเติมให้มีผลบังคับใช้ในเร็ววัน เท่าที่จะทำได้เช่นกัน เช่น มาตรการสนับสนุนพาหนะที่ใช้พลังงานไฟฟ้า มาตรการทางภาษี หรือมาตรการอื่นๆ ที่จูงใจให้ผู้คนในสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่พฤติกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” ดร.จารุพล กล่าว พร้อมเน้นย้ำว่า การสร้างสมดุลระหว่าง “มาตรการจูงใจ” กับ “มาตรการกดดัน” เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงด้วยว่าจะมีผลทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมได้จริง