ข่าว

ภท.เสียบบัตรโผล่อีก เด็ก ปชป.โชว์หลักฐานมัด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ภท.เสียบบัตรโผล่อีก เด็ก ปชป.โชว์หลักฐานมัดไม่อยู่สภา ศาลรับคดีงบ 63 เรียก 3 ส.ส.แจง

 

               วุ่นอีก เด็ก ปชป.แฉ ส.ส.ภูมิใจไทยเมืองพัทลุงเสียบบัตรแทนกันอีก งัดหลักฐานขึ้นเครื่องดอนเมืองไปสงขลาช่วงเวลาลงมติ ขณะที่ศาล รธน.รับคำร้องร่าง พ.ร.บ.งบ 63 ‘โมฆะ’ จากปมเสียบบัตรแทนกัน สั่ง 3 ส.ส.ฉาวส่งคำชี้แจง 4 ก.พ.นี้ ‘อุตตม’ ย้ำ ‘คลัง’ มีมาตรการรองรับแล้ว ขณะที่ฝ่ายค้านยื่นซักฟอก 31 ม.ค. จ่อคุยสรุปทุกเรื่องวันนี้

อ่านข่าว เทียบคำวินิจฉัยสมัยรัฐบาลปู ลุ้นศาลรับคำร้อง ปมเสียบบัตร

 

 

               เมื่อวันที่ 29 มกราคม ศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมปรึกษาพิจารณาคดีกรณีประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง (1) จำนวน 3 คำร้อง กรณี นายวิรัช รัตนเศรษฐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และคณะ จำนวน 109 คน (เรื่องพิจารณาที่ 2/2563) นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และคณะ จำนวน 84 คน (เรื่องพิจารณาที่ 3/2563) และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และคณะ จำนวน 7 คน (เรื่องพิจารณาที่ 4/2563) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 198 วรรคหนึ่ง (1) ว่า ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่

 

ศาล รธน.รับคำร้องปมเสียบบัตร

 

               ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องพิจารณาที่ 2/2563 และที่ 3/2563 มีประเด็นที่ต้องพิจารณาเป็นประเด็นเดียวกัน จึงให้รวมการพิจารณาทั้งสองเรื่องเข้าด้วยกัน ซึ่งทั้งสองคำร้องเป็นกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเห็นว่า

 

               ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จึงเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ส่งความเห็นนั้นมายังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง (1)

 

               กรณีจึงต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (1) จึงมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

 

               พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ร้องทราบและให้ผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร น.ส.ภริม พูลเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และนายสมบูรณ์ ซารัมย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำชี้แจงเป็นหนังสือพร้อมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563

 

แฉซ้ำ ส.ส.พัทลุงภท.เสียบบัตรแทน

 

               วันเดียวกัน น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร อดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะตัวแทนประชาชน แถลงข่าวนำหลักฐานเปิดเผยถึงการเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส.พัทลุง เขต 1 พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ว่า ส.ส.คนดังกล่าวไม่ได้อยู่ในห้องประชุมสภาในวันที่ 10 มกราคม 2563 ขณะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ 2563

 

               โดยได้ไปตรวจสอบพบว่า ส.ส.คนดังกล่าวมีไฟลต์บินช่วงเวลา 20.50-22.50 น. ของสายการบินนกแอร์ ซึ่งเดินทางจากสนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังสนามบินหาดใหญ่ จ.สงขลา จึงขอให้สภามีการตรวจสอบการทำหน้าที่ เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทำงานอยู่บนภาษีของประชาชน

 

               เมื่อถามว่า การออกมาครั้งนี้จะยิ่งทำให้รอยร้าวระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยยิ่งร้าวขึ้นหรือไม่ น.ส.สุพัชรีกล่าวว่า ไม่ได้มาในนามพรรค แต่มาในนามส่วนตัว ตามที่ประชาชนร้องเรียนมา

 

‘ถาวร’ฮึ่มไม่ได้เสียบบัตรแทนกัน

 

               ขณะเดียวกัน มีรายงานความคืบหน้ากรณีมีการเผยแพร่สกู๊ปเรื่องปัญหาเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส.ของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง โดยช่วงหนึ่งของสกู๊ป มีภาพของนายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม ในลักษณะใช้มือขวาดึงบัตรใบหนึ่งออกจากช่องเสียบบัตรลงคะแนน และใช้มือซ้ายเสียบบัตรลงคะแนนอีกใบเข้าไปในช่องเสียบบัตร คล้ายๆ กับเป็นการเสียบบัตรลงคะแนนมากกว่าหนึ่งใบ ทำให้ถูกตั้งข้อสงสัยว่า เป็นการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันหรือไม่

 

               ต่อมาเมื่อเวลา 15.30 น. นายถาวร แถลงชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ได้เสียบบัตรแทนกัน แต่เป็นเพราะห้องประชุมจันทราเป็นห้องประชุมของ ส.ว.ที่มีเพียง 250 ที่นั่ง ทำให้จุดเสียบบัตรไม่เพียงพอต่อจำนวน ส.ส. โดยที่นั่งดังกล่าวเป็นที่ประจำของนายประกอบ รัตนพันธุ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช แต่บังเอิญช่วงที่มีการลงมติ นายประกอบไม่ได้อยู่ในที่นั่ง แต่มีบัตรเสียบคาไว้ จึงดึงบัตรของนายประกอบออก และเสียบบัตรของตนเพื่อลงมติ

 

               จังหวะนั้นนายประกอบได้เดินเข้ามาพอดี ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไม่ได้ลงคะแนนแทนใคร เพราะเป็นนักกฎหมายและนักการเมืองอาวุโสมา 20 ปี รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะทำอะไรระมัดระวังตัวอยู่แล้ว แต่หากใครเอาข้อมูลไปเผยแพร่ในทางที่เสียหายก็จะดำเนินการฟ้องหมิ่นประมาท หรือหากใครจะนำไปแชร์ในโลกออนไลน์ก็จะฟ้องผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ด้วย

 

“วิษณุ”ยันรัฐบาลมีทางออกปมงบ63

 

               เวลา 13.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการทางออกเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ไว้อยู่แล้ว ส่วนจะเป็นอย่างไรไม่ควรพูด เพราะฝ่ายค้านออกมาเตือนอยู่ว่าไม่ให้พูดชี้นำ และไม่ได้ประเมินหากศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาจะใช้เวลาเท่าใด แต่ต้องคิดให้ยาวไว้ก่อน เข้าใจว่าสำนักงบประมาณจะเสนอมาตรการเตรียมการรองรับ

 

               ซึ่งทางออกมาตรการรองรับคิดไว้หลายทาง มีมากกว่า 3 ทาง แต่ไม่สมควรบอก และไม่ว่าอย่างไรงบประจำของข้าราชการสามารถใช้ได้ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 141 ระบุหากงบประมาณปีใหม่ออกไม่ทัน ให้ใช้งบประมาณของปีเก่าไปพลางก่อน โดยสำนักงบประมาณจะมีหน้าที่ควบคุมวินัยการเงินการคลัง

 

               ส่วนงบลงทุนอะไรที่ผูกพันอยู่ก็สามารถดำเนินการได้ เข้าใจว่างบประมาณลงทุนมีอยู่ 3 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งมีส่วนที่ผูกพันอยู่บ้าง ก็สามารถทำได้ แต่จะหามาตรการไม่ให้กระทบกับเอกชนและผู้ประกอบการ โดยนำสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมาคำนึงด้วย เพราะงบประมาณของรัฐจะมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ถ้าจะกระทบก็กระทบงบลงทุนของโครงการใหม่เท่านั้น ซึ่งเราจะหามาตรการในส่วนของงบโครงการใหม่จะทำอย่างไร

 

ลั่นคนทำผิดต้องรับผิดชอบ

 

               นายวิษณุ กล่าวอีกว่า ที่พูดทั้งหมดคือทางแก้เรื่องงบประมาณ แต่ไม่เคยพูดว่าการเสียบบัตรไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง ซึ่งต้องไม่ละเลยเรื่องการตรวจสอบหาผู้กระทำผิดในเรื่องนี้ ขณะที่ทุกคนไปเตรียมการต่างๆ มากมาย แล้วคนที่ทำผิดทำไมจึงยังลอยนวลอยู่ ฮูเอฟเวอร์ ใครก็ตามที่เป็นต้นเหตุที่จะต้องรับผิดชอบ

 

               ซึ่งจนถึงขณะนี้ไม่เคยรู้เลยว่าสภาสอบกันไปแล้วอย่างไร ได้ความอย่างไร ส่วนที่ถามว่าแสดงว่าคนที่เสียบบัตรแทนกันจนเป็นประเด็นทำให้ พ.ร.บ.งบประมาณล่าช้า จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบใช่หรือไม่นั้น คนเสียบบัตรแทนกันนั้นผิด และแน่นอนว่าต้องรับผิดชอบ ในเมื่อเป็นต้นเหตุ

 

               แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าไม่เกิดความเสียหายเขาก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้วต่อการกระทำนั้น และเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นต้องเป็นความรับผิดชอบอีกหลายเท่า

 

               ส่วนที่ถามว่ามี ส.ส.เสียบบัตรแทนกันกี่คนคือผู้กระทำผิดทั้งหมดและต้องถูกเอาโทษใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ว่าใครที่เกี่ยวข้อง สมรู้ร่วมคิด วางแผน ส่วนจะมีผลกระทบถึงสมาชิกภาพของ ส.ส.เหล่านั้นด้วยใช่หรือไม่นั้น แอท ดิ เอนด์ นั่นคือจุดหมายปลายทาง ที่จะต้องนำไปสู่อย่างนั้น

 

               แต่ในระหว่างที่ยังไม่ถึงขั้นนั้นก็ตอบไม่ถูก เพราะไม่ทราบข้อเท็จจริง ตอนนี้เอาสั้นๆ ยังไม่มีเหตุที่จะต้องไปขยายอะไร ตอนนี้ต้องดำเนินการให้ได้ตัวออกมา ซึ่งก็ดีแล้วที่มีการไปยื่น

 

‘อุตตม’ย้ำ‘คลัง’มีมาตรการรองรับแล้ว

 

               ขณะที่นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องกรณีประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของ ส.ส.ขอให้วินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท จะต้องล้มไปหรือไม่ ว่า

 

               ศาลรับคำร้องดังกล่าวแล้ว ซึ่งกระทรวงการคลังไม่สามารถก้าวล่วงการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า กรณีนี้ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลถึงผลกระทบที่อาจส่งผลถึงทำให้ไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันในเดือนมีนาคมนี้

 

               “จากข้อกังวลดังกล่าว ผมจึงได้ร่วมหารือกับผู้บริหารของกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดเตรียมมาตรการรองรับในทุกๆ กรณี รวมถึงการเตรียมการล่วงหน้าในระยะยาวด้วย โดยที่ประชุมได้เสนอมาตรการเพื่อรองรับในหลายแนวทางด้วยกัน และพร้อมที่จะนำมาใช้ได้อย่างทันท่วงที

 

               ทั้งเรื่องของการเบิกจ่ายเงินเดือนข้าราชการ และเงินลงทุนของภาครัฐ เงินลงทุนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหน้าที่ของกระทรวงการคลัง คือเป็นหน่วยงานสำคัญในการดูแลงบประมาณและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป ดังนั้นขอให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจว่า กระทรวงการคลังพร้อมที่จะทำตามภารกิจดังกล่าวอย่างเต็มที่” นายอุตตม กล่าว

 

‘พรเพชร’ เร่งหามาตรการป้องกัน

 

               ด้านนายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิ) แถลงว่า ที่ประชุมหารือปัญหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร เสียบบัตรลงคะแนนแทนกันในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เป็นเหตุให้มีการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย

 

               โดยประธานวุฒิสภาในฐานะประธานวิปวุฒิเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรนิติบัญญัติ จึงควรจะต้องกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีการใช้บัตรลงคะแนนโดยไม่ชอบในการประชุมของวุฒิสภา จึงให้นำเรื่องเข้าหารือต่อที่ประชุมวิปเพื่อพิจารณา

 

               นายคำนูณกล่าวต่อว่า ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่าโดยหลักการแล้วการออกเสียงลงคะแนนของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ถือเป็นเครื่องมือในการแสดงออกซึ่งเจตจำนงของ ส.ว.แต่ละท่านตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้มีการลงมติในเรื่องใดๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็น "บัตรแห่งอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ”

 

               ดังนั้นจึงควรมอบบัตรออกเสียงลงคะแนนให้สมาชิกทุกท่านเป็นผู้รับผิดชอบบัตรของตนเอง และควรให้สมาชิกทุกคนนำบัตรออกเสียงลงคะแนนของตนเองออกจากเครื่องลงคะแนนทุกครั้งที่ออกจากห้องประชุมเพื่อป้องกันการใช้บัตรลงคะแนนโดยมิชอบ ทั้งนี้ประธานวุฒิสภาจะชี้แจงย้ำให้ส.ว.ทุกท่านทราบอีกครั้งในการประชุมวุฒิสภาวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์

 

เพื่อไทยยื่นญัตติอภิปราย 31 ม.ค.นี้

 

               วันเดียวกัน นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ทางพรรคร่วมฝ่ายค้านตกลงกันว่าจะยื่นไม่เกินวันศุกร์ที่ 31 มกราคมนี้ โดยเหตุที่ไม่ยื่นวันนี้ เพราะยังต้องรอการพิจารณาของศาล เพื่อที่จะคัดกรองข้อมูลให้ครบถ้วนอีกครั้ง

 

               และในวันที่ 30 มกราคม จะมีการประชุมกันอีกครั้ง เพื่อสรุปว่าจะอภิปรายในประเด็นใดบ้าง ส่วนวันที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ขึ้นอยู่กับประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยจะคุยร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อหาข้อสรุปว่าจะเป็นวันไหน และกี่วัน แต่มีความตั้งใจอยากให้มีการอภิปรายก่อนการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.กำแพงเพชร คือ วันที่ 23 กุมภาพันธ์นี้

 

               “คิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพราะถ้าหากหลังจากนี้ เกรงจะกระชั้นชิดกับวันปิดประชุมสภา เหมือนเป็นการบีบบังคับเวลาทางอ้อม ขณะที่กรอบเวลามองว่าอย่างน้อยต้องไม่น้อยกว่า 3 วัน เพราะต้องให้ฝ่ายค้านอภิปรายจนจบ โดยการอภิปรายครั้งนี้มีผู้อภิปรายเยอะ และผู้ถูกอภิปรายก็เยอะเช่นกัน" เมื่อถามถึงการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.กำแพงเพชร นายสุทินกล่าวว่า เบื้องต้นได้มีรายชื่อผู้สมัครอยู่แล้ว พูดคุยกันอยู่ตลอด ส่วนจะเป็นคนเดิมหรือไม่นั้น ต้องรอดู

 

นัดวันนี้ครั้งสุดท้ายตัดชื่อซักฟอกรมต.

 

               พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษ (กพศ.) พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ขณะนี้ข้อมูลทุกสารทิศได้หลั่งไหลมาที่พรรคร่วมฝ่ายค้านไว้ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลสืบทอดอำนาจ จนทำให้จำนวนรัฐมนตรีที่น่าจะถูกอภิปรายเป็นจำนวนเลขสองหลักเข้าไปแล้ว ซึ่งจะเป็นรัฐมนตรีที่อยู่ในพรรคขนาดใหญ่ และพรรคขนาดกลางที่ร่วมรัฐบาล แต่เนื่องจากขณะนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านมีข้อคิดเห็นตรงกันชัดเจนว่าเป้าหมายหลักยังคงเป็น พล.อ.ประยุทธ์

 

               “ช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคมนี้ เหล่าหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะหารือร่วมกันครั้งสุดท้ายเพื่อหาบทสรุปว่าสมควรจะเหลือจำนวนรัฐมนตรีที่จะต้องถูกอภิปรายเป็นจำนวนกี่คนที่ทำให้รัฐบาลสืบทอดอำนาจไปต่อไม่ได้อีกแล้ว เมื่อร่วมหารือเสร็จก็จะเข้าสู่กระบวนการเพื่อยื่นญัตติต่อไปทันที

 

               โดยยืนยันว่า ข้อมูลที่มีอยู่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าผู้นำสืบทอดอำนาจที่ปัจจุบันนี้ชื่อเสียงเชิงบวกในตัวเองที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิดอยู่แล้ว เมื่อถูกอภิปรายแล้วก็จะเหลือแต่ชื่อเสียงเชิงลบทั้งสิ้น จนเป็นเหตุให้มิอาจนำพาองคาพยพรัฐบาลสืบทอดอำนาจเดินต่อไปได้ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้” พล.ท.ภราดร กล่าว

 

จวกคำนวณ​ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์สุดเพี้ยน

 

               นายชุมสาย​ ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่ศาลฎีกาพิพากษาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งอดีตผู้สมัคร​ ส.ส.​จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ และ​ กกต. ได้คิดคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ เป็นเหตุให้มี​ ส.ส.บางพรรคหลุดไป และบางพรรคได้​ ส.ส.เพิ่มนั้น พ.ร.ป.กกต.ว่าด้วยหลักเกณฑ์การคิดคำนวณ​ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แปลกประหลาดแตกต่างไปจากหลักการเป็นสากลที่เคยถือปฏิบัติ ทำให้สถานะของ​ ส.ส.ขาดเสถียรภาพ ส่งผลให้การเมืองไร้เสถียรภาพไปด้วย สมควรที่ทุกฝ่ายต้องเสนอแก้ไขโดยเร่งด่วน

 

               และขอถามว่า นายไพบูลย์​ นิติตะวัน เป็น​ ส.ส.บัญชีรายชื่อในนามพรรคอะไร เพราะพรรคประชาชนปฏิรูปเลิกไปแล้ว และนายไพบูลย์ก็ไม่มีชื่อในบัญชีรายชื่อลำดับใดของ​พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งทุกคะแนนที่เลือกนายไพบูลย์ ประชาชนเขาเลือกพรรคประชาชนปฏิรูป หากมีการคำนวณใหม่จึงสงสัยในสถานะของนายไพบูลย์ว่าทำหน้าที่อะไรในสภา และในฐานะอะไร ซึ่งที่เคยอ้างว่ามีสิทธิตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายนั้น​ สามารถทำได้จริงหรือไม่ และ​ กกต. สภาผู้แทนฯ​ รวมทั้งพรรคพลังประชารัฐเอาอำนาจตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายบทใด ไปรับรองคุ้มครองสิทธิของนายไพบูลย์

 

‘พีระวิทย์’ดีใจคืนส.ส.-ขออยู่ลุงตู่

 

               วันเดียวกัน นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทรักธรรม เดินทางเข้าสภาวันแรกหลังได้รับการรับรองจากทาง กกต.อีกครั้ง จากการคำนวณคะแนนสัดส่วน ส.ส.ใหม่ โดยกล่าวว่ารู้สึกตื่นเต้นที่ได้กลับเข้ามาทำหน้าที่ ส.ส.อีกครั้ง จากที่หยุดไป 7-8 เดือน

 

               แต่ที่ผ่านมารู้สึกสงสัยต่อกระบวนการการคำนวณคะแนนของ กกต.เป็นอย่างยิ่ง เพราะการคำนวณคะแนนนั้นทำให้หลุดจากการเป็น ส.ส.ในครั้งก่อน และแม้จะหลุดจากการเป็น ส.ส. ก็ยังคงลงพื้นที่รับฟังปัญหาของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้มาทำหน้าที่เป็น ส.ส.ในสภาครั้งนี้ ก็ยึดแนวทางเดิมเหมือนที่เคยประกาศไว้ คือ การร่วมงานกับฝ่ายรัฐบาล

 

“หมอธีทัชฐ์”ลาออกจาก พปชร.

 

               ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสัตวแพทย์ธีทัชฐ์ เกียรติลดารมย์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ พร้อมระบุว่า ขอกราบลาสมาชิกพรรคและประชาชน เพื่อขอลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่าไม่ได้มีความขัดแย้งกับผู้ใหญ่ภายในพรรค แต่อยากสร้างพรรคที่มีแนวทางใหม่

 

               หากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบก็พร้อมที่จะเป็นผู้นำให้แก่คนรุ่นใหม่ แต่จะเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะเทิดทูนสถาบัน ไม่ทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ถ้าพรรคอนาคตใหม่ไม่ถูกยุบเชื่อว่าจะสามารถทำงานร่วมกันได้ หลังลาออกจากพรรคพลังประชารัฐแล้ว จะออกมาทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอิสระนอกสภา จะตรวจสอบการทำหน้าที่ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน

 

               “ผมพร้อมให้ข้อมูลฝ่ายค้านในสภาเพื่อนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แต่ยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐบาล เพราะหากรัฐบาลไม่ดี เราก็ต้องมีการตรวจสอบ และหากฝ่ายค้านไม่ดี ผมก็จะตรวจสอบฝ่ายค้านเช่นเดียวกัน” นายสัตวแพทย์ธีทัชฐ์ กล่าว

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ