ข่าว

ผบช.สตม. การันตี 'ไบโอเมทริกซ์' ชี้ใช้ดี -พาสื่อพิสูจน์

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผบช.สตม. การันตี 'ไบโอเมทริกซ์' ชี้ใช้ดี -พาสื่อพิสูจน์ ซัด บิ๊กโจ๊ก แค้นส่วนตัว ด้าน บิ๊กแป๊ะ โต้คลิปปัดเบรกทำคดี- ษิทรา แจง ป.ป.ช. ขอเพิ่มพยาน

 

              จากกรณีที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุหลังเกิดเหตุคนร้ายยิงรถยนต์ส่วนตัวเมื่อคืนวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา ว่าเกิดจากเรื่องที่ตนเองไปขวางโครงการไบโอเมทริกซ์ เนื่องจากอาจมีการทุจริต เพราะเครื่องไม่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นไปตามทีโออาร์ ส่วนผลงานการจับกุมคนร้ายที่ผ่านมาเป็นฝีมือของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

 

 

              ความคืบหน้าวันที่ 9 มกราคม ที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ออกมายืนยันว่า ระบบนี้สามารถใช้งานได้จริง ไม่ทราบว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เอาข้อมูลมาจากไหนว่าระบบไบโอเมทริกซ์ไม่สามารถใช้งานได้จริง ทั้งที่เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูง ถือเป็นระบบมาตรฐานสากลที่สนามบินนานาชาติขนาดใหญ่นิยมใช้กัน เช่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น และที่ผ่านมาสามารถจับกุมชาวต่างชาติที่กระทำผิด หรือมีประวัติที่พยายามหลบหนีเข้าประเทศไทยได้เป็นจำนวนมาก การนำระบบนี้มาใช้มีความคุ้มค่า ช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า ประเทศไทยมีระบบคัดกรองที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เป็นผู้อนุมัติโครงการ ก็เพื่อยกระดับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับนานาชาติ มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย

          “เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นมองว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่ควรนำเรื่องระบบไบโอเมทริกซ์ไปเชื่อมโยงกับความขัดแย้งส่วนตัว และไม่ควรใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือให้ตัวเองเกิดความชอบธรรม” พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าว

              ด้าน พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รอง ผบช.สตม. ระบุว่า กรณีที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ นำเรื่องความขัดแย้งส่วนตัวมาเชื่อมโยงกับระบบไบโอเมทริกซ์ เนื่องจาก ผบ.ตร. เป็นผู้อนุมัติโครงการ ตนก็พร้อมจะชี้แจงต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เพราะทำงานอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีเอกสารพร้อม

              ส่วน ดร.อาศิส อัญญะโพธิ์ ผอ.ฝ่ายพัฒนาดิจิทัลโซลูชันส์ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมตรวจสอบระบบไบโอเมทริกซ์ ออกมายืนยันเช่นกันว่า

 

 

 

อ่านข่าว - คำสั่งเด้งแห่งปี..สอย บิ๊กโจ๊ก นายพลดาวรุ่งร่วงสู่สามัญ

              เป็นระบบที่มีมาตรฐานสากล ใช้งานได้จริง แต่อาจจะมีความล่าช้าในการเชื่อมโยงระบบไปบ้าง ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ เมื่อทุกอย่างเข้าระบบก็จะสามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ สามารถตรวจสอบชิพที่ฝังอยู่ในหนังสือเดินทางได้ บันทึกลายพิมพ์นิ้วมือได้ 10 นิ้ว รวมถึงตรวจสอบใบหน้าผู้ถือหนังสือเดินทาง ที่สำคัญระบบนี้ยังลึกซึ้งถึงขั้นคนที่ทำศัลยกรรมก็สามารถตรวจสอบได้ด้วยเช่นกัน

              ขณะที่ พ.ต.อ.เชิงรณ ริมผดี รองผบก.ตม.2 ในฐานะผู้ปฏิบัติงานที่ควบคุมดูแลท่าอากาศยานนานาชาติในประเทศไทย กล่าวว่า เดิมเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคนเข้าเมืองได้เพียงดูด้วยตาเปล่า กับภาพถ่ายโดยอาศัยทักษะของเจ้าหน้าที่เท่านั้น แต่ปัจจุบันระบบไบโอเมทริกซ์สามารถช่วยในการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ ทำให้การตรวจสอบบุคคลมีความแม่นยำ เพราะมีฐานข้อมูลบุคคลต้องสงสัย หรือบุคคลต้องห้าม จนสามารถคัดกรองบุคคลเข้า - ออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

 

              ต่อมา รอง ผบช.สตม. ได้นำสื่อมวลชนไปดูการทำงานของเครื่องไบโอเมทริกซ์ เพื่อยืนยันว่าทุกขั้นตอนมีประสิทธิภาพ ใช้ได้ผลและเป็นประโยชน์ คุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงทุนไป

              วันเดียวกัน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อประชาชนและสังคม เดินทางเข้าให้ข้อมูลต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. ฐานะผู้ร้อง กรณียื่นเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องไบโอเมทริกซ์ และรถตรวจการณ์ไฟฟ้า ของ สตม. วงเงิน 2,100 ล้านบาท พร้อมกล่าวว่า ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2562 ให้มีการตรวจสอบโครงการไบโอเมทริกซ์ โดย ป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งให้ตนเข้าให้ปากคำในวันนี้ (9 ม.ค.) พร้อมให้ระบุตัวบุคคลที่ต้องการจะให้สอบสวน

 

 

 

              ซึ่งตนได้นำเอกสารหลักฐานรายงานการใช้งานเครื่องไบโอเมทริกซ์จากเจ้าหน้าที่ ตม. จังหวัดต่างๆ เช่น เชียงใหม่ ตาก เชียงแสน ชลบุรี ซึ่งทั้งหมดพบว่าระบบมีปัญหาไม่สามารถใช้งานได้ตามคุณสมบัติที่ระบุไว้ในทีโออาร์ และรายงานปัญหาไปยังบริษัทคู่สัญญา แต่ไม่ได้มีการแก้ไขใดๆ นอกจากนี้ ในการส่งมอบงานบางงวดเอกชนยังไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามกำหนดนัด แต่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เซ็นตรวจรับงานให้ก่อน เพื่อไม่ให้เอกชนเสียเงินค่าปรับวันละ 5 ล้านบาท รวมถึงกรณีรถตรวจการณ์ไฟฟ้าที่จัดซื้อในราคาคันละ 4 ล้านบาท ที่อาจใช้งานได้ไม่คุ้มค่า และไม่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟได้โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่อาจมีปัญหาสัญญาณอ่อน

              นายษิทรา กล่าวอีกว่า ขอให้ ป.ป.ช. เรียกสอบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ , พล.ต.ท.ติณภัทร ภุมรินทร์ ผบช.สำนักงานส่งกำลังบำรุง

 

 

 

              ซึ่งทั้ง 2 คนนี้เกี่ยวข้องในฐานะผู้อนุมัติการจัดซื้อจัดจ้างโครงการดังกล่าว และขอให้สอบ พล.ต.ท.สมพงษ์ และ พล.ต.ต.สุรพงษ์ ในฐานะเป็นผู้ตรวจรับงานโครงการดังกล่าวและเป็นผู้ขยายสัญญาให้แก่เอกชน โดยเฉพาะ พล.ต.ต.สุรพงษ์ ซึ่งย้ายมาจากตำรวจภูธรภาค 7 เพื่อมาตรวจรับงานงวดที่ 6 โดยเฉพาะ

              “ผมยังขอยื่นเอกสารเพิ่มรายชื่อในบัญชีพยานเป็น 13 ปาก เพิ่มเติมจากที่ก่อนหน้านี้มีเพียง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เพื่อขอให้ ป.ป.ช. เรียกมาไต่สวนข้อมูลเพิ่มเติม โดยทั้ง 13 คนประกอบไปด้วยนายตำรวจระดับนายพล 2 คน ระดับนายพัน 10 คน และชั้นประทวน 1 คน โดยทั้งหมดเป็นตำรวจที่เคยเกี่ยวข้องกับการตรวจรับงานโครงการไบโอเมทริกซ์ แต่พบความไม่ชอบมาพากล จึงไม่ได้เซ็นอนุมัติการตรวจรับ และต่อมาตำรวจทั้ง 13 คนถูกย้ายไปประจำการในตำแหน่งอื่น และมีการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เข้ามาตรวจรับแทน” นายษิทรา กล่าว

 

 

 

              อย่างไรก็ตาม ทาง ป.ป.ช. จะทยอยเรียกสอบปากคำพยาน เริ่มจากวันที่ 10 มกราคม เวลา 09.30 น. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จะเข้าให้ปากคำเป็นพยานปากแรก และจะมาพร้อมอดีตรองผู้บัญชาการ สตม. คนที่ไม่ยอมเซ็นรับมอบโครงการจนถูกย้าย ส่วนพยานคนอื่นๆ จะทยอยเรียกมาให้ข้อมูลจนครบทั้ง 13 คน ขณะเดียวกันที่ผ่านมา ป.ป.ช. เรียกเอกสารจากสำนักงานส่งกำลังบำรุง และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไปมากพอสมควรแล้ว โดยสัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่สุ่มตรวจการใช้งานเครื่องไบโอเมทริกซ์ ทั้งนี้หากการไต่สวนพบว่ามีมูลก็เชื่อว่า ป.ป.ช. ก็จะเรียกผู้ถูกร้องทั้ง 4 คน รวมถึง ผบ.ตร. มาชี้แจง

              ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกี่ยวกับคดีคนร้ายยิงรถส่วนตัว พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ที่เกิดขึ้น ช่วงเช้าวันนี้ได้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เกี่ยวกับเรื่องคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์คล้ายเสียง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. ทำนองติติง ไม่ควรมารับลูกทำคดีให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ด้วยตัวเอง ปล่อยให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่รับผิดชอบเอง เพราะรายงานเหตุตรงตลอดอยู่แล้ว

 

 

 

              กระทั่งเวลาต่อมา พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. ได้ออกมาเปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า ขอชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้น โดยขณะที่มีการสนทนากันตามคลิปเสียงที่สื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอไปนั้น ตนได้นั่งอยู่ด้วย เป็นการสนทนาทางโทรศัพท์ ซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง ผบ.ตร. กับ พล.ต.อ.วิระชัย จริง แต่เป็นการกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา ระดับ ตร. ตามปกติ ในการทำงานให้เป็นพี่เลี้ยง ทำการกำกับ ดูแล ให้การสนับสนุน และปล่อยให้หน่วยที่รับผิดชอบได้ดำเนินการตามหน้างานตามปกติไป ซึ่งในคดีนี้ ทาง บช.น. ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามขั้นตอนตามปกติ และได้รายงานให้ ผบ.ตร. ทราบเป็นระยะๆ และท่านได้กำชับมาโดยตลอดในที่ประชุมบริหาร ตร.

 

 

 

              “สำหรับเรื่องการอัดคลิปเสียง และมีการปล่อยเสียงสนทนานั้นลงในโลกโซเชียลมีเดีย ก็ไม่ทราบว่าใครอัดและอยากรู้เหมือนกันว่าใครทำ เพราะโดยมารยาทแล้วการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างบุคคลนั้น ไม่ควรอัดบทสนทนาเอาไว้ ยกเว้นคู่สนทนาจะมีเจตนาแอบแฝงในทางที่ไม่ดีกับอีกฝ่ายหนึ่ง” รองโฆษก ตร. กล่าว

              จากนั้นเวลา 11.30 น. พล.ต.อ.วิระชัย ได้เดินทางมาที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง (สพฐ.) เพื่อร่วมตรวจสอบรถยนต์ ยี่ห้อเลกซัส สีขาว หมายเลขทะเบียน 9 กจ 351 กรุงเทพมหานคร ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ โดยมีเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานร่วมตรวจสอบด้วย เพื่อหาหลักฐานที่ยังตกค้างอยู่ภายในรถ โดยใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 15 นาที ซึ่งวันนี้เป็นการตรวจพิสูจน์ซ้ำอีกรอบ โดยได้หัวกระสุนเพิ่ม อีกจำนวน 6 นัด ถือว่าพยานหลักฐานครบถ้วน ส่วนอาวุธปืนที่คนร้ายใช้ก่อเหตุคาดว่าน่าจะเป็นชนิด 9 มม. หรือ .38 ขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ายิงมาจากปืนกระบอกเดียวหรือไม่ ต้องตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง สำหรับความคืบหน้าของคดียังคงต้องสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานให้แน่นหนา

 

 

 

              ส่วนกรณีที่มีคลิปเสียงการสนทนาดังกล่าว พล.ต.อ.วิระชัย บอกว่า เรื่องนี้ยังไม่ทราบ ยังไม่มีใครรายงาน ขอตรวจสอบให้ละเอียดก่อน ยอมรับว่ามีการพูดคุยเรื่องคดีกับ ผบ.ตร. ซึ่งก็เป็นการสั่งการทั่วไป แต่มีความเป็นไปได้ที่จะถูกดักฟัง เพราะปัจจุบันโทรศัพท์ก็สามารถถูกดักฟังได้ โดยเฉพาะหมายเลขโทรศัพท์ของคนที่มีความสำคัญ ซึ่งทุกวันนี้สามารถทำได้ง่าย

              ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส. บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นอดีตนายตำรวจและเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เชื่อว่า เรื่องนี้เป็นการจัดฉากของผู้ที่ถูกยิงใส่รถ สาเหตุเพราะการที่มือปืนจะลงมือสังหารใคร ต้องมีการติดตามเหยื่อมาอย่างใกล้ชิด เมื่อสบโอกาสจึงลงมือลั่นไกสังหารเหยื่อ แต่เรื่องนี้เอามือปืนมาจัดฉากยิงใส่รถที่จอดอยู่เฉยๆ ไม่มีเป้าหมายอยู่ในรถแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าเป็นการจัดฉากหวังขยายผลเพื่อโจมตีคู่กรณีมากกว่า เพื่อให้มีข้ออ้างจัดการปลด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ออกจากตำแหน่งก่อนที่จะเกษียณอายุราชการในอีก 8 เดือน เหมือนกับที่ตนก็เคยถูกเล่นงานมาเช่นกัน

 

 

 

              ด้าน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงกรณีคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวว่า รู้สึกหดหู่ใจ เมื่อได้ฟังคลิปลับเสียงตำรวจชั้นผู้ใหญ่สั่งการเบรกคดีของตน ซึ่งตรงกับที่ตั้งสันนิษฐานไว้ ถ้าหากเป็นคนที่คาดการณ์กันไว้ ก็คิดว่าไม่เป็นประโยชน์กับคดี เพราะคดีนี้สื่อสนใจ การที่ผู้ใหญ่ระดับผู้รักษาการดูแลอย่างใกล้ชิด จะได้ความวางใจจากประชาชน การสั่งแบบนี้ยิ่งมีพิรุธ ถ้าตนเป็นคนถูกพาดพิงจะไม่สั่งอย่างนั้น การสั่งเป็นการต่อว่าอย่างเดียว ไม่สั่งคดีเลย แถมยังล่วงล้ำ เป็นการเตี้ยมกันหรือเปล่า ไปจนถึงว่าไปหลอกใช้ รอง ผบ.ตร. ทั้ง 5 คน ซึ่งตนจะไปสั่งท่านได้อย่างไร ท่านเป็นผู้นำ การสั่งแบบนี้ เป็นเรื่องจริยธรรม ถ้าเป็นตนเอง เป็นแบบนี้ ออกไปแล้ว

 

 

 

              “ผมไม่จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ ผมเงียบมาเป็นปีแล้ว ผมไม่เคยให้ข่าวในแง่ลบ แต่วันนี้มาถึงขีดสุด ต้องปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง ปกป้องความเป็นมนุษย์ เราโตมา ไม่ได้ถูกสอนให้เอาใจคนหนึ่งคนแล้วเติบโต ต้องเอาใจคนทั้งประเทศ และผมพอใจได้ทำหน้าที่ของผมแล้ว สามารถยืนตอบคำถามได้อย่างสง่างาม ว่าสิ่งที่ผมทำไปยกเลิกไปเพราะอะไร ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สำหรับการเอาภาษีของประชาชนมาใช้ ส่วนปมถูกลอบยิง ยังมั่นใจว่ามาจากการตรวจสอบคดีไบโอเมทริกซ์ของ สตม. เป็นการข่มขู่ มีการนัดผมไปพูดคุยไปเจรจาหลายทีแล้ว แต่ผมไม่ไป แล้วโกรธ ไปว่าลับหลัง เราเป็นผู้ถูกกระทำ ต้องรู้สิ มีมูลเหตุมาจากอะไร จะไปพาดพิงยังไง แต่ไม่สามารถขัดขวาง หรือให้ผมยกเลิกได้ ผมจะไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช. พรุ่งนี้ ส่วนจะไปเลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร. ไม่มีหรอก ผมจะล้มท่านได้ไง ผมไปมีอำนาจอะไรล้มท่าน ท่านอยู่มา 4 ปีกว่า ซึ่งเรื่องโทรศัพท์ ถ้าโทรมาสั่งการจริง ถ้าตรงกับคนนั้น ถ้าเป็นผู้นำจะทำอย่างนั้นไม่ได้ ต้องให้ความเป็นธรรมทุกคน เราเป็นตำรวจ เป็นผู้รักษากฎหมาย ต้องมีจริยธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้ประชาชน หมดศรัทธาตำรวจ ผมเองก็หมดศรัทธา ซึ่งส่วนตัวเฉยๆ แล้วว่าจะได้กลับมาเป็นตำรวจอีกหรือไม่ เพราะกลับก็ได้ ไม่กลับก็ได้ ผมอยู่ที่ไหนก็ทำหน้าที่เป็นข้าราชการประจำอย่างดีที่สุด” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าว

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ