
ตะลุยข่าว : เส้นทางโจร "ออฟซ่า"...แก๊งยกเค้าร้อยล้าน
การเลือกเดินเส้นทางผิด ทำให้ "หทัย ไชยวัณณ์" นักแข่งรถเจ้าของฉายา "ออฟซ่า" ตกอยู่ในวังวนแห่งความหวาดระแวง ชื่อเสียงกับสิ่งที่ทำมาตั้งแต่ต้น บัดนี้เป็นได้เพียงอดีตเท่านั้น !?!
ไอ้หมูบินเป็นหนึ่งในแก๊งงัดเซฟ 200 ล้าน เข้ามอบตัวต่อ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. พร้อมกับยกมือไหว้และกล่าวขอโทษต่อสิ่งที่ทำลงไป ส่วนสาเหตุที่ต้องเข้ามอบตัว เพราะเพื่อนในแก๊งถูกจับให้การซัดทอด และเช้ามืดวันที่ 5 มีนาคมนี้เอง ขณะถอยรถออกจากบ้านได้ยินเสียงปืนหลายนัด จึงเกิดความหวาดระแวง
"ผมต้องหนี ชีวิตผมได้แต่ขับรถ ซ่อมเครื่อง แต่งเครื่อง ไม่เคยยิงปืน ถ้าเป็นตำรวจทำไมไม่เข้ามาจับ หรือปิดทางไม่ให้ผมออก เพราะบ้านผมเป็นซอยตัน" ออฟซ่าครวญ
ชีวิตของนักแข่งรถที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว เริ่มต้นจากการเดินตามรอยเท้าพ่อ พ่อของเขาก็เป็นนักแข่งรถ เปิดอู่ซ่อมรถยนต์-แต่งเครื่อง จึงได้รับการฝึกสอนให้รู้จักเทคนิคและแท็กติกต่างๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อพ่อเสียชีวิตเขาจึงเข้าสู่วงการแข่งรถ สร้างชื่อด้วยการขับรถแข่งได้ถ้วยรางวัลหลายสนาม จนมีคนในแวดวงรถยนต์รู้จักมากขึ้น จากนั้นจึงหันมาเปิดอู่ซ่อมรถยนต์และตกแต่งเครื่อง
การเปิดอู่รถยนต์ทำให้มีเพื่อนฝูงในวงการรถแข่งมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาหา มาพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมถึงการแต่งเครื่องให้เร็วและแรง เมื่อ 5-6 ปีก่อนได้รู้จักกับ "ณัฐ หรือโต้ง ชาหอม" ในฐานะลูกค้า นำรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค 3 ประตูมาให้แต่งเครื่อง ได้พูดคุยเรื่องเครื่องยนต์จนมีความสนิทสนมกันพอสมควร
ณัฐแวะเวียนไปมาหาสู่ "ออฟซ่า" ที่อู่เสมอๆ นำรถมาแต่งเครื่องเป็นระยะๆ จนตัวเขาเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เอาเงินมาจากไหน ครั้งหนึ่งเคยถามก็ได้คำตอบว่า ได้มาจากการงัดแงะตามโรงแรม อพาร์ตเมนต์ ในเขตกรุงเทพฯ เขายอมรับกับตัวเองและ "คม ชัด ลึก" ว่า ตอนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มีอยู่ครั้งหนึ่งณัฐหายไปนานหลายเดือน กลับมาอีกครั้งสังเกตเห็นว่าร่ำรวยมากขึ้นกว่าเดิม มีรถดีๆ ใหม่ๆ มาขับ แถมยังมีเงินมาแต่งเครื่องอีกต่างหาก
วันหนึ่งณัฐเห็นว่า "ออฟซ่า" มีฝีมือในการขับรถ จึงชวนไปทำงานด้วย ให้ทำหน้าที่ขับรถยนต์ โดยงานแรกที่ทำคือ การงัดเซฟ 200 ล้านบาท ที่หมู่บ้านธารารมณ์นั่นเอง !?!
"ไม่รู้อะไรทำให้ผมตัดสินใจรับงานนี้"
นอกจากจะทำหน้าที่ขับรถแล้ว ยังมีหน้าที่อีกอย่างคือ การดูต้นทาง โดยนั่งรออยู่ในรถ ปล่อยให้ณัฐ, สุภัทร เนินวิเชียร และกีรติ กุมพล เข้าไปงัดเซฟภายในบ้าน เมื่อได้ทรัพย์สินมาแล้วทั้งหมดจะจัดสันปันส่วนกันที่หน้าบ้านเหยื่อนั่นเอง โดยไอ้หมูบินได้ส่วนแบ่งเป็นเงินสด 5 ล้านบาท จากนั้นเมื่อมีงานครั้งใดณัฐก็จะเป็นคนเรียกใช้เรื่อยมา
"ออฟซ่า" บอกว่า หลังจากทำงานทุกครั้งชีวิตเขาไม่มีความสุขเลย รู้สึกหวาดระแวง ไม่อยากอยู่บ้าน กลัวจะไม่ปลอดภัย แม้พยายามปลีกตัวออกจากเส้นทางสายนี้ก็ไม่อาจทำได้ เขาถึงกับเปรยว่า "ผมก็ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร ?"
หลังเข้ามอบตัวก็เริ่มปลงตกและคิดว่า สาเหตุที่ทำให้เลือกเดินบนเส้นทางสายโจรนี้ เกิดจากปมด้อยส่วนตัว ทั้งที่นอกจากอู่แต่งรถแล้ว เขายังรับจ๊อบทดสอบรถ ทดสอบเครื่องยนต์ และทดสอบยางรถยนต์ ได้เงินคราวละ 1 หมื่นบาทก็ตามที
"ผมอาจมีปมด้อย เห็นคนแต่งรถมีแต่ลูกคนมีเงิน เลยอยากมีกับเขาบ้าง"
หันมามองชีวิตของณัฐบ้าง ชายหนุ่มบอกว่า เขาชอบถึงขนาดหลงใหลการแข่งรถและอาวุธปืน แต่การศึกษาเรื่องพวกนี้ต้องใช้เงินจำนวนมาก เลยตัดสินใจชวนเพื่อนๆ ที่รู้จักตระเวนงัดแงะตามอาคารบ้านเรือนต่างๆ เนื่องจากเห็นว่าได้เงินง่ายดี !?!
ณัฐกับเพื่อนตระเวนทำผิดมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อได้เงินมาก็แบ่งให้ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ส่วนตัวเขาเองก็นำเงินไปซื้อบ้าน ซื้อรถ ที่ตัวเองชอบและใฝ่ฝันอยากจะมีอยากจะได้ โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น บางครั้งรถที่เพิ่งถอยออกมาใหม่อย่างเช่นรถเบนซ์ นำไปทดสอบโชว์ได้ไม่กี่วันเกียร์ก็พัง เขาก็ไม่สนใจ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หาเงินมาซ่อมแซมได้เป็นเรื่องธรรมดา
"ผมคิดว่าหาเงินง่าย"
นอกจากจะหมดไปกับบ้านและรถแล้ว ณัฐยังใช้จ่ายเงินที่ขโมยมาอย่างฟุ่มเฟือย โดยไปเล่นการพนันที่บ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา กลางวันนอน กลางคืนเที่ยว ดื่มเหล้า ท่องราตรี และตะลอนไปตามแหล่งอโคจรทั้งหลาย แล้วก็แต่งรถ เขาบอกว่าชีวิตของพวกเขามีเพียงแค่นี้ ทุกครั้งที่ไปเที่ยวจะใช้เงินสดตลอด เขาเล่าว่าเวลาไปเที่ยวอาบ อบ นวด ก็จะเปิดห้องสูทเรียกเด็ก (หญิงสาว) มานั่งคุยดื่มกินกันเต็มที่ หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ให้ทิปเด็กเป็นเงินหลักหมื่นเกือบทุกคน
อะไรที่ได้มาง่ายๆ ย่อมจากไปง่ายเช่นเดียวกัน เหมือนกับชีวิตของแก๊งงัดเซฟเงินล้านเหล่านี้ !?!
"ออฟซ่า"...เบียดและชนเพื่อล่าแชมป์
ปี 2528 เป็นปีที่วงการแข่งรถเมืองไทยเฟื่องฟูสุดขีด ค่ายรถต่างๆ ส่งทีมโรงงานเข้าแข่งขัน ปัจจัยที่ทำให้วงการเติบโตเวลานั้นคือ การเปิดให้บริการของสนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พัทยา สนามแข่งรถมาตรฐานเอฟไอเอแห่งแรกของเมืองไทยและเป็นสนามดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ขณะนั้นเป็นจุดเริ่มต้นแจ้งเกิดของนักแข่งระดับแนวหน้าของเอเชีย
หทัย ไชยวัณณ์ หรือ "ออฟซ่า" นักแข่งสังกัดทีม ปตท.เรซซิ่งทีม เป็นลูกชายของนักแข่งชื่อดัง ฉัตรชัย ไชยวัณณ์ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เขาแข่งรถมาตั้งแต่อายุ 16 ปี โดยการสนับสนุนของพ่อ ออฟเป็นนักแข่งที่ขับเก่ง ประสบการณ์สูง
"หากจะชนะ ต้องอยู่กลุ่มหน้า ขับตามหลังไม่มีใครมอง ความต้องการขึ้นไปอยู่กลุ่มหน้า แม้จะออกสตาร์ทกลุ่มตามก็ตาม"
"เบียดและชน" เพื่อล่าแชมป์ จึงเป็นนิสัยของเขา เป็นที่มาของฉายา "ออฟซ่า" ไม่ใช่ "หมูบิน" อย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะว่า "หมูบิน" เป็นฉายาของนักแข่งรุ่นพี่ พนัส ควรสถาพร อดีตแชมป์ประเทศไทยหลายสมัย
"พินิจ ทองสุข" นายสนามรายการแข่งรถชื่อดัง บอกว่า รถแข่งเป็นกีฬาที่ใช้ทุนสูง มันจึงเป็นกีฬาของ "คนรวย" เมื่อคนรวยมาแข่ง คนรวยก็ไม่ชอบยอมแพ้ มีศักดิ์ศรีเข้ามาเกี่ยวข้อง มีการกลั่นแกล้งกันเพื่อเอาชนะ มีการปลูกฝังว่าถ้าอยากชนะต้องชน ทำให้มีรถชนกันเพื่อชนะมากขึ้น
"ผมบอกว่าถ้าสอนกันอย่างนี้ คิดแบบนี้ วงการพังหมด แข่งกันไม่ได้หรอก ต้องไปแข่งในป่า กันให้หมดช่วงหลังดีขึ้นเพราะว่ามีคนดังจริงๆ มาเป็นนักแข่ง คนที่เกเรก็เลิกไป นักแข่งบ้านเราชนกันแล้ว ตัดสินกันไม่ได้ ตัดสินทีไรมีการประท้วง ร้องกันทางหน้าสื่อ ซึ่งก็ไม่จบ ต้องยอมรับว่านักแข่งที่ร้อง มีผลประโยชน์กันทั้งนั้น ไม่มีใครทำเพื่อวงการหรอก"
พนัส ควรสถาพร กล่าวถึงว่า เหตุผลที่หันหลังให้ทางเรียบ ไปเอาดีทางการแข่งรถทางฝุ่น เพราะว่าแรลลี่สปรินท์ และครอสคันทรี ไม่ต้องยุ่งกับใคร
พนัส นักขับแรลลี่ ฉายา "หมูบิน" ตัวจริง บอกว่า ทางเรียบนั้นมันเหลือแต่นักเลงแข่งกัน มีการเล่นกันนอกกติกาเยอะเกินไป เพราะกติกาอ่อน กรรมการก็เหมือนจะไม่สามารถรักษาความเป็นกลางไว้ได้
ในวงการแข่งรถยนต์นอกจากวีรกรรมของ "ออฟซ่า" ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์แล้ว วงการแข่งรถเคยมีเรื่องราวสะเทือนวงการตอกย้ำภาพสีเทา เช่น คดีที่นักแข่งคนไทยถูกซีไอเอจับที่ฮ่องกง ในขณะที่เตรียมรถไปแข่งมาเก๊ากรังด์ปรีซ์ หรือการใช้อาวุธสงครามข่มขู่กันในสนามแข่ง เพราะยอมกันไม่ได้
ขณะที่ในปีนี้สื่ออย่างช่อง 7 ได้ถอดโปรแกรมการถ่ายทอดสดการแข่งขันรถยนต์และรถจักรยานยนต์ออกจากผังรายการทั้งหมด ดังนั้นผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของวงการรถแข่งในครั้งนี้จึงค่อนข้างรุนแรง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้