
ทำเนียบแชมป์ 5 สมัยหลังสุดฟุตบอลสโมสรโลก
ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก "ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2019" จะเป็นตัวแทนจากทวีปไหนได้ลงบู๊ในรอบชิงชนะเลิศ
วันนี้ทีมข่าวกีฬาคมชัดลึกขอพาย้อนไปยัง 5 เกมในรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลรายการนี้เพื่อเป็นการโหมโรงก่อนที่ศึกชิงดำในปีนี้จะมาถึง
เรอัล มาดริด (สเปน) 2-0 ซาน ลอเรนโซ (อาร์เจนตินา)
วันที่ 20 ธ.ค. ปี 2014
สนาม : สตาด เดอ มาร์ราเกช, โมร็อกโก
ผู้ชม : 38,345 คน
นี่คือจุดเริ่มต้นในการประกาศความสำเร็จฟุตบอลสโมสรโลกทั้งหมด 4 สมัย เรอัล มาดริด จากสเปน
ขณะที่ ซาน ลอเรนโซ สโมสรจากแดนฟ้าขาวเพิ่งคว้าแชมป์โคปาลิเบอร์ตาโดเรสเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร โดยกุนซือตอนนั้นใช้ เบาซา เอ็ดการ์โด ที่ต่อมาก้าวขึ้นไปคุมทีมชาติอาร์เจนตินาได้สำเร็จ หลังจบฟุตบอลรายการนี้ในอีก 2 ปีต่อมา
ผลการแข่งขันลงเอยด้วยตัวแทนฝั่งยุโรปที่เป็นฝ่ายได้ฉลองความสำเร็จด้วยชัยชนะ 2-0 จากประตูของ เซร์คิโอ รามอส และแกเรธ เบล
สุดท้าย อิเคร์ กาซิยาส ผู้รักษาประตูชาวสเปนฉลองการลงเล่นเกมที่ 700 กับสโมสรด้วยการขึ้นไปชูถ้วยฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ที่โมร็อกโก
นอกจากนี้ คริสเตียโน โรนัลโด ยังเป็นนักเตะคนแรกที่คว้าแชมป์ฟุตบอลสโมสรโลกกับ 2 สโมสร หลังเคยคว้าแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2008
ริเวอร์ เพลท (อาร์เจนตินา) 0-3 บาร์เซโลนา (สเปน)
วันที่ 20 ธ.ค. ปี 2015
สนาม : อินเตอร์เนชั่นแนล สเตเดี้ยม โยโกฮามา, ญี่ปุ่น
ผู้ชม : 66,853 คน
อีกครั้งหนึ่งที่ฟุตบอลรายการชิงแชมป์สโมสรโลกได้ตัวแทนระหว่างทวีปยุโรปกับอเมริกาใต้เข้ามาห้ำหั่นกันในเกมรอบชิงชนะเลิศ
คราวนี้ยุโรปยังเป็นทีมจากสเปนแต่ชื่อเปลี่ยนเป็น บาร์เซโลนา ของหลุยส์ เอ็นริเก ที่มาลงบู๊กับริเวอร์ เพลท ตัวแทนอาร์เจนตินาซึ่งเคยประสบความสำเร็จเป็นแชมป์รายการนี้มาแล้ว 1 สมัย เมื่อปี 1986
เกมการแข่งขันเป็น “อาซูลกรานา” ครองเกมและสร้างโอกาสทำประตูอยู่แทบทั้งหมด สุดท้าย ลิโอเนล เมสซี ก็มาซัดเบิกร่อง ก่อนที่หลุยส์ ซัวเรซ บวกเพิ่มอีก 2 ประตู จบเกม บาร์เซโลนา เอาชนะ 3-0 พร้อมกับคว้าแชมป์สโมสรโลกเป็นสมัยที่ 3
เรอัล มาดริด (สเปน) 4-2 คาชิมา แอนท์เลอร์ส (ญี่ปุ่น)
วันที่ 18 ธ.ค. ปี 2016
สนาม : อินเตอร์เนชั่นแนล สเตเดี้ยม โยโกฮามา, เมืองโยโกฮามา, ญี่ปุ่น
ผู้ชม : 68,742 คน
นับเป็นหนแรกที่ทีมจากเอเชียได้ผ่านเข้ามาเล่นในรอบชิงชนะเลิศ โดยคราวนั้น คาชิมา แอนท์เลอร์ส จากญี่ปุ่นในฐานะเจ้าภาพหักปากกาเซียนทะลุเข้าชิงแบบพลิกความคาดหมาย แถมสู้กับทีมยุโรปได้สมศักดิ์ศรี กระทั่งเกมต้องยืดเยื้อไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษหลังเสมอในเวลาปกติ 2-2
สุดท้ายทีมแดนอาทิตย์อุทัยมาเสียท่า คริสเตียโน โรนัลโด กดประตูชัยแถมเป็นแฮตทริกของสตาร์โปรตุกีสและเป็นแฮตทริกแรกประจำนัดชิงฟุตบอลสโมสรโลก ก่อนทุกอย่างจะลงเอยด้วยชัยชนะ 4-2 ของเรอัล มาดริด โดยก่อนหน้านี้ 6 วัน โรนัลโด เพิ่งได้รับเลือกให้คว้าบัลลงดอร์ ประจำปี 2016
หลังจบเกมนัดชิง เรอัล มาดริด สร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์สโมสรโลก สมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี พ่วงสถิติไร้พ่ายนับรวมทุกรายการ 37 นัด ขณะที่ปีนั้น ยังเป็นการคว้าแชมป์ของสโมสรจากฝั่งยุโรปครั้งที่ 9 จาก 10 ครั้งหลังสุดที่ฟุตบอลสโมสรโลกจัดแข่งขันมา
เรอัล มาดริด (สเปน) 1-0 เกรมิโอ (บราซิล)
วันที่ 16 ธ.ค. ปี 2017
สนาม : เดอะ ซาเยด สปอร์ต ซิตี สเตเดี้ยม, ยูเออี
ผู้ชม : 41,094 คน
ปีดังกล่าวถือเป็นปีทองของทั้งเรอัล มาดริด และคริสเตียโน โรนัลโด โดยหลังจากก่อนหน้านี้ราชันชุดขาว ผ่านความสำเร็จฟุตบอลโลกด้วยการเป็นแชมป์ 2 จาก 3 ปีหลังสุดมาเที่ยวนี้ทีมของซีเนอดีน ซีดาน ก็ยังรักษาผลงานแกร่งด้วยการเฉือนชนะ เกรมิโอ จากบราซิล 1-0 และประตูชัยจากลูกฟรีคิกของโรนัลโด ที่ปีก่อนในรายการนี้เพิ่งมาระเบิดแฮตทริกเอาไว้
เบ็ดเสร็จปี 2017 เรอัล มาดริด สอยแชมป์มากถึง 5 โทรฟีไล่ตั้งแต่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ลา ลีกา, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ, สแปนิช ซูเปอร์คัพ และฟุตบอลสโมสรโลก
ส่วนโรนัลโด ทำสถิติยิงประตูในนัดชิงให้ราชันชุดขาวได้ทั้งฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ 4 ประตู จาก 2 สมัย, 3 ประตู จากยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัย และ 2 ประตู จากโคปา เดลเรย์ 2 สมัย และปีนั้นเขาได้บัลลงดอร์ สมัย 5 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดก่อนมาลุยสโมสรโลก
เรอัล มาดริด (สเปน) 4-1 อัล-ไอน์ (ยูเออี)
วันที่ 22 ธ.ค. ปี 2018
สนาม : เดอะ ซาเยด สปอร์ต ซิตี สเตเดี้ยม, กรุงโดฮา, ยูเออี
ผู้ชม : 40,696 คน
เรอัล มาดริด เดินหน้ากวาดความสำเร็จต่อเนื่องแม้จะเปลี่ยนตัวกุนซือเป็น ซานติอาโก โซลารี โดยในศึกชิงแชมป์สโมสรโลกที่เที่ยวล่าสุดพวกเขาก็ประกาศศักดาเป็นเบอร์ 1 ของฟุตบอลรายนี้ ด้วยจำนวนแชมป์มากสุด 4 สมัย
เกมนัดชิงเมื่อปี 2018 ทีมจากสเปนเป็นฝ่ายไล่ยำ อัล ไอน์ ทีมเจ้าภาพจากยูเออี ที่พลิกเอาชนะจุดโทษ ริเวอร์ เพลท มาในรอบตัดเชือก โดยทั้ง 4 ประตูมาจาก ลูกา โมดริช, มาร์กอส ยอเรนเต, เซร์คิโอ รามอส และนาแดร์ (ยิงเข้าประตูตัวเอง) ส่วนทีมเจ้าภาพตีไข่แตกจาก ซึกาสะ ชิโอตานิ กองกลางชาวญี่ปุ่น
โดยประตูขึ้นนำ 1-0 ของโมดริช ยังถือเป็นการยิงประตูในนัดชิงลูกแรกให้มาดริดนับรวมทุกรายการอีกด้วย
เวลานี้ เรอัล มาดริด นับเป็นทีมที่คว้าแชมป์ฟุตบอลสโมสรโลก ซึ่งแข่งขันมาตั้งแต่ปี 2000 มากสุด ด้วยจำนวน 4 สมัย แซงหน้า บาร์เซโลนา อันดับ 2 ที่เคยได้ไป 3 สมัย
แม้ฟุตบอลสโมสรโลกมักได้คู่ชิงเป็นตัวแทนระหว่างยุโรปกับอเมริกาใต้มากครั้งที่สุด แต่ปีนี้ก็ต้องมาลุ้นว่าจะเป็นอย่างที่คาดไว้หรือไม่
เมื่อ ฟลาเมงโก จากบราซิล จะลงเล่นรอบรองกับ อัล ฮิลาล ของซาอุฯ คืนนี้ (17 ธ.ค.) เวลา 00.30 น.
ส่วน ลิเวอร์พูล จากอังกฤษ จะเจอ มอนเตอร์เรย์ ของเม็กซิโก คืนวันที่ 18 ธันวาคม เวลา 00.30 น. เช่นเดียวกัน
ภาพ : AFP