เปิดใจผู้ต้องสงสัยอีกรายในคดีสังหารสาวยัดท่อ

 

 

 

             วันที่ 26 พ.ย.2562 พันตำรวจเอกฐิติภัทร อินทรักษ์  ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบ้านโคก พร้อมด้วยชุดสืบสวน นำตัวนายสมจริง  เกิดทรัพย์ หรือ เงาะ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่  24/1 ม.6 ต.บ้านโคก อ เมือง จ.เพชรบูรณ์ ผู้ต้องหาคดีฆ่ายัดท่อ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ในจุดเกิดเหตุคือบริเวณบ้านร้างสวนมะขาม ม.6 ต.บ้านโคก หลังจากก่อนหน้ามีคนไปพบรถจักรยานยนต์ จอดกลางสวนมะขามบ้านโคก ต่อมาพบศพเสียชีวิตอยู่ในท่อซีเมนต์ ในสภาพเน่าเปื่อย ใกล้บ้านร้างจุดที่พบรถจักรยานยนต์ จากการติดตามสอบสวน กระทั่งสามารถจับกุมตัวนายสมจริง หรือเงาะ ผู้ต้องหาได้ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2562 ตำรวจ สภ.บ้านโคกได้รับแจ้งว่า มีคนพบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าคลิกสี ขาว-ดำ หมายเลขทะเบียน ขฉข 441  เพชรบูรณ์ จอดทิ้งไว้ภายในบ้านร้างสวนมะขามหวานหมู่ที่ 6 ตำบลบ้านโคก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าชื่อเจ้าของรถคันดังกล่าว คือ นางพยัพ โนนสังข์ จึงได้ติดต่อสอบถามไปยังนางพยัพฯ จนได้ความว่านางพยัพ ได้ไปแจ้งคนหาย ซึ่งเป็นบุตรสาวชื่อนางสาวเสาวลักษณ์ หรือต่าย โนนสังข์ อายุ 23 ปี พร้อมรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมบ้านได้ออกปูพรมค้นหานางสาวเสาวลักษณ์ ในบริเวณพบรถจักรยานยนต์ จนกระทั่งพบศพคนเสียชีวิต สภาพเน่าเปลือยอยู่ในท่อซีเมนต์ข้างบ้านร้าง ซึ่งนางพยัพ ยืนยันว่า เป็นนางสาวเสาวลักษณ์ บุตรสาวของตนเนื่องจากจำเครื่องแต่งกายลักษณะ ที่ขับขี่รถออกจากบ้านได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งพิสูจน์หลักฐานจังหวัดเพชรบูรณ์ทำการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุกับแพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพและได้ส่งไปผ่าพิสูจน์ที่โรงพยาบาลพุทธชินราชจังหวัดพิษณุโลกเพื่อตรวจสอบ DNA และหาสาเหตุการตาย ต่อมานายสมจริง  เกิดทรัพย์ หรือ เงาะ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยได้ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือฆ่า น.ส.ต่าย เพียงคนเดียว

 

 

 

         จากการสอบสวน นายสมจริงหรือเงาะ เกิดทรัพย์ ได้ให้การรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ช่วงเช้านางสาวเสาวลักษณ์หรือต่าย โนนสังข์ ได้โทรศัพท์นัดหมายกับตน ในกระท่อมกลางป่าสวนมะขาม หลังจากพบกันแล้วได้มีปากเสียงทะเลาะกันขึ้น ก่อนจะถูก น.ส.ต่าย ด่าทออย่างรุนแรง ดูถูกว่าเป็นคนพิการ เป็นไอ้ด้วน ทำให้ตนเกิดความโมโหจัด จึงได้ใช้มือบีบเข้าที่คอของนางสาวเสาวลักษณ์จนเสียชีวิต จากนั้น จึงได้ใช้ผ้าห่มในกระท่อมดังห่อร่างนางสาวเสาวลักษณ์ แล้วอุ้มไปวางไว้ในท่อปูนซีเมนต์ข้างบ้านร้าง ห่างจากจุดเกิดเหตุราว 200 เมตร เพื่ออำพรางคดี แล้วเดินลัดกลับมาเอารถจักรยานยนต์ของ น.ส.ต่าย แล้วขับขี่ไปตามถนนป่ามะขามไปจอดซุกซ่อนไว้ในบ้านร้างป่ามะขามใกล้กับศพ จากนั้นได้ขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านตามปกติ พร้อมกับโทรศัพท์ไปถามนางพยัพแม่ของ น.ส.ต่ายทุกวันเพื่อปกปิดบิดเบือนความผิดของตน แต่เนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่เรียกตัวมาสอบสวนแทบทุกวัน และเกิดความรู้สึกผิดต่อการกระทำของตน จึงได้รับสารภาพว่าเป็นคนลงมือฆ่า เพราะความโกรธแค้น อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อกล่าวหานายสมจริง ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ลอบฝังซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย จากนั้นส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป

ด้านนางพยัพ โนนสังข์ แม่ผู้ตาย กล่าวว่า หลังจากนายเงาะซึ่งเป็นอดีตแฟนของลูกสาว มาสารภาพกับตนว่า เป็นคนลงมือฆ่า น.ส.ต่าย ทำให้ตนโมโหอย่างมาก และคาดไม่ถึงว่าจะเป็นนายเงาะ เนื่องจากก่อนหน้านั้นนายเงาะผู้ต้องหา ได้โทรศัพท์มาพูดคุย สอบถามถึงลูกสาวประจำและไม่แสดงอาการพิรุธใดๆอย่างไรก็ตาม แม้จะโกรธเพียงใด เพื่อให้วิญญาณลูกสาวตายอย่างสงบ ตนจึงอโหสิกรรมให้นายเงาะ แต่เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการกับผู้ต้องให้ตามกระบวนการของกฎหมายให้ถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

              นายสมรวม ปาคำ อายุ 39 ปี ผู้ที่สังคมต้องสงสัยว่าเป็นผู้ลงมือฆ่า น.ส.ต่าย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าในตอนแรกที่สังคมรุมด่าตนว่าเป็นคนฆ่าน้องต่าย ตนรู้สึกเครียดมาก ยิ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนติดต่อกันหลายวัน รวมทั้งถูกค้นบ้าน ทำให้คนในหมู่บ้านมองตนว่าเป็นฆาตกร ทำให้ไม่อยากจะพูดคุยกับใคร แต่เมื่อความจริงปรากฏแล้วตนก็สบายใจ แต่ก็รู้สึกตกใจที่คนก่อเหตุกลายเป็นนายเงาะที่เป็นคนรักชอบพอกับน้องต่ายมาก่อน สำหรับแม่ของน้องต่ายที่กล่าวหาว่าตนเป็นคนทำร้ายน้อง ตนก็ไม่โกรธ เพราะนาทีนั้นทุก ๆ คนก็คิดเหมือนกันว่าตนเป็นผู้ก่อเหตุ และหากวิญญาณของน้องต่ายรับรู้ได้ก็ขอให้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี หากเกิดชาติหน้าขอให้เกิดมาเป็นเนื้อคู่กันอย่าพลัดพรากเหมือนชาตินี้เลย

ด้านนางทองมา วาพิไล อายุ 53 ปี พี่สาวของนายสมรวม ปาคำ เปิดเผยว่าตอนที่น้องถูกสังคมกล่าวหาว่านายสมรวมเป็นคนลงมือฆ่า น.ส.ต่าย ทำให้ครอบครัวและญาติ ๆ ของนายสมรวม รวมทั้งตนที่เป็นพี่สาว ถูกสังคมและชาวบ้านมองด้วยสายตาที่ดูหมิ่นดูแคลน จนไม่อยากจะออกไปพบกับใครเลย แต่เมื่อความจริงปรากฏแล้วอยากจะขอให้สังคมเข้าใจ ตนยืนยันตลอดมาว่าน้องชายตนไม่ได้เป็นฆาตกร เพราะน้องชายตนรัก น.ส.ต่ายมาก มีข้าวปลาอาหารก็แบ่งไปให้บ้านน้องต่ายได้กินได้ใช้และวางแผนที่จะใช้ชีวิตร่วมกันในอนาคต เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วทำให้น้องของตนเครียดมาก หนำซ้ำยังมาโดนกล่าวหาว่าฆ่าคนที่ตัวเองรักก็ยิ่งเครียดขึ้นไปอีก เมื่อทุกอย่างเปิดเผยแล้วก็ขอให้สังคมได้เข้าใจในตัวของน้องชายรวมทั้งครอบครัวและญาติ ๆ ด้วย

 

 

 

 

ภาพ/ข่าว ชัยวัฒน์ ปานนิล นักข่าวภูมิภาค จ.เพชรบูรณ์