
"โครงการหลวง"อีกเสี้ยวรักจากพ่อหลวงสู่ชาวดอย
ย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีที่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรบนดอย เมื่อคราวเสด็จฯ มาประทับที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ และได้เสด็จฯ โดยเฮลิคอปเตอร์ ทรงทอดพระเนตรว่าบนดอยมีการปลูกฝิ่น
ตัดต้นไม้และทำลายแหล่งต้นน้ำลำธาร ทำไร่เลื่อนลอย จึงมีพระราชกระแสรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้ติดตามหาพืชเมืองหนาวมาให้ชาวเขาปลูกแทนฝิ่น ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลว่า "ของเมืองหนาวถ้านำลงมาขายข้างล่างซึ่งเป็นเมืองร้อนน่าจะขายได้ราคาดีกว่าฝิ่น" จนกลายเป็นจุดกำเนิดของโครงการหลวงในวันนี้
ม.จ.ภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ในฐานะผู้รับสนองพระราชดำรัสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการดำเนินการ "โครงการหลวง" ตั้งแต่เริ่มแรก ประทานเล่าถึง พระเมตตาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อชาวเขาเผ่าต่างๆ บนดอยอ่างขางว่า ทรงอยากให้ชาวเขามีอาชีพหลักและเลิกปลูกฝิ่น เลิกทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งสุดท้ายก็จะย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขาเอง จึงทรงให้จัดตั้งโครงการหลวงแห่งนี้ขึ้น
"ขณะเดียวกัน แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระราชกรณีมากมาย ก็ทรงหาโอกาสเสด็จฯ มาพระราชทานกำลังใจแก่คนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ด้วยทรงทราบถึงความยากลำบากเป็นอย่างดี นำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจแต่ทุกๆ คน หากใครเคยมีโอกาสถวายงานใกล้ชิดจะทราบดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระทัยดี ได้ถวายงานรับใช้พระองค์แล้วรู้สึกสนุก" ประธานมูลนิธิโครงการหลวงตรัส
อาจารย์สืบศักดิ์ นวจินดา หรือ อ.ฉึกฉัก ของชาวเขา อาสาสมัครไฟแรงจากรั้วมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เจ้าของตำนาน "ท้อ 2 ลูก" ซึ่งเป็นหัวข้อสนุกสนานที่ขาดไม่ได้หากเมื่อใดก็ตามที่ตั้งวงสนทนาเกี่ยวกับงานโครงการหลวง เล่าถึงความประทับใจต่อเส้นทางการทำงานของตัวเองบนสถานีเกษตรหลวงอ่างขางว่า หลังจากเรียนจบเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2510 ก็นั่งรถไฟมาเริ่มต้นชีวิตการทำงานที่นี่ทันที โดยงานส่วนใหญ่ก็จะเน้นด้านการวิจัยพืชผักต่างๆ เป็นหลัก จนเป็นที่มาของเรื่อง "ท้อ 2 ลูก" และได้รับเงินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจำนวน 280,000 บาท กับรถยนต์อีก 1 คัน เพื่อนำมาใช้ขยายผลด้านการวิจัยด้านอื่นๆ ต่อมา
ในฐานะที่เป็นนักวิชาการด้านเกษตร จึงมีโอกาสได้ถวายงานใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อ.สืบศักดิ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ตัวเองเกิดมาไม่เสียชาติเกิดที่มีโอกาสได้ทำตรงนี้ มีโอกาสได้ถวายงานแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าหัว ผู้ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกล ซึ่งเป็นความตั้งใจของตัวเองตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ จวบจนถึงวันนี้แม้จะอายุ 68 ปีแล้วก็ตาม แต่ทุกคนในโครงการหลวงก็ยังเห็นคุณค่าอยู่
ส่วนอดีตครูสาวจากโรงเรียนนานาชาติชื่อดังในเมืองหลวง ผู้ยอมละทิ้งชีวิตอันแสนสะดวกสบาย ตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ดอยสูงทำหน้าที่เป็นผู้ประสิทธิประสาทวิชาให้แก่กะเหรี่ยงน้อยๆ หลังได้สัมผัสและเห็นแนวทางการทำงานปลูกพืชทดแทนฝิ่นของโครงการหลวงจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่เดินทางไปท่องเที่ยวเพียงหนเดียวนั่นคือ เรียม สิงทร หรือ "ครูเรียม" ประจำโรงเรียนบ้านขอบด้ง ซึ่งเธอเล่าว่า
"เมื่อปี 2526 ได้มาเที่ยวที่ดอยอ่างขาง แล้วเห็นโรงเรียนเล็กๆ หลังหนึ่งที่มีครูสอนอยู่ รู้สึกว่าอยากมาเป็นครูที่นี่บ้าง และเมื่อเดินทางกลับบ้านที่กรุงเทพฯ จึงเขียนจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับ โดยไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างไร ตอนนั้นยังไม่รู้จัก ม.จ.ภีศเดช รัชนี ซึ่งในครั้งนั้นทรงดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขางว่าเป็นใคร จึงเขียนจดหมายเล่าความรู้สึกของตัวเองว่า "อยากจะมาสอนหนังสือที่ดอยอ่างขาง" เวลาผ่านไปประมาณ 1 ปี อาจารย์ที่วิทยาลัยครูสวนสุนันทา (มร.สส.) บอกว่ามีโทรเลขตามตัวให้ไปรายงานตัวที่ดอยอ่างขาง จึงลางาน 3 วัน เพื่อมารายงานตัว และจาก 3 วันก็อยู่มาถึงวันนี้เป็นเวลา 25 ปี" ครูเรียมของเด็กๆ เล่าด้วยน้ำเสียงแห่งความสุขใจ
ท้อจนเกือบถอย ถ้าไม่ได้เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบนกระดานดำ...คำสารภาพจากครูดอย
"ครั้งแรกคิดว่าจะได้มีโอกาสมาสอนที่โรงเรียนในโครงการหลวง แต่เมื่อมาถึงจึงทราบว่า ต้องไปรับหน้าที่เป็นครูประจำอยู่ที่โรงเรียนบ้านขอบด้ง ซึ่งเป็นชาวเขาเผ่ามูเซอดำ ซึ่งวันที่เข้ามารายงานตัวก็ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม 2527 อาคารเรียนที่โครงการหลวงสร้างไว้สภาพไม่มีนักเรียนกลับมีแต่ทหาร ทั้งที่มีอุปกรณ์การเรียนเครื่องเขียนพร้อม แต่ไม่มีเด็กมาเรียนหนังสือ เพราะทุกคนต้องไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาหรือไม่ก็อยู่บ้านเลี้ยงน้อง วันนั้นยอมรับว่าไม่มีความรู้เกี่ยวกับตรงนี้เลย อีกทั้งยังคิดด้วยตัวเองจะอยู่ได้หรือไม่ ความรู้สึกตอนนั้นท้อใจมาก ในขณะที่ใจอีกด้านก็ต่อสู้ว่า นี่เป็นงานที่ตัวเองเลือก ทั้งยังเป็นการเลือกครั้งแรกด้วยตัวเองอีกด้วย จึงอยากทำหน้าที่ให้ได้ ในขณะที่กำลังนั่งขบคิดอยู่นั้น ก็เห็นรูปพระพุทธชินราช และพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่เหนือกระดานดำ จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจได้ว่า พระองค์ทรงงานอย่างหนักเพื่อต้องการให้พสกนิกรชาวไทยอยู่ดีมีสุข แต่ลำพังตัวเองเป็นแค่เจ้าหน้าที่โครงการหลวงเป็นข้าแผ่นดินน้อยๆ รับผิดชอบแค่เรื่องเล็กๆ แต่ทำไมต้องท้อใจ จากนั้นแทนที่จะนั่งรอเด็กๆ อยู่ในโรงเรียนจึงหยิบอุปกรณ์การเรียนต่างๆ แล้วเป็นฝ่ายลุยออกไปหาเด็กๆ เอง เรียกได้ว่า เด็กอยู่ไหน ครูเรียมอยู่ที่นั่นด้วย ซึ่งก็ทำอย่างนี้อยู่ประมาณ 3-4 เดือน กว่าจะดึงเด็กเข้ามาที่โรงเรียนได้
แม้ต้องเหน็ดเหนื่อยมากเพียงใด แต่ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ที่จะนำความรู้ไปสู่เด็กชาวเขาให้มากที่สุดเท่าที่กำลังกายจะทำได้ ส่งผลให้ครูตัวเล็กหัวใจใหญ่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าเพื่อถวายรายงานต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจทรงเยี่ยมชาวเขา โดยในคราวนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเงินจำนวน 3,000 บาท พร้อมกับมีพระราชกระแสรับสั่งว่าให้สอนเด็กพูดภาษาไทย นำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจแก่เธออย่างยิ่ง
จากวันแรกที่ไม่มีเด็กแม้แต่คนเดียวในโรงเรียน ถึงวันนี้โรงเรียนบ้านขอบด้งมีนักเรียนซึ่งเป็นชาวเขาเผ่าต่างๆ เข้าศึกษาเล่าเรียนถึง 303 คน และที่สำคัญเงินจำนวน 3,000 บาทในวันวานยังคงเป็นกองทุนการเกษตรของโรงเรียนมาจนถึงปัจจุบันนี้
อีกหนึ่งคนที่ทำงานในสถานีเกษตรหลวงอ่างขางมายาวนาน ด้วยว่าเป็นเจ้าหน้าที่คนแรก จำรัส อินทร เล่าด้วยความภูมิใจที่ได้ทำงานที่นี่ ซึ่งก็เหมือนการได้ถวายการรับใช้ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเช่นกันว่า เมื่อปี 2517 ได้มากับเพื่อนๆ จากจังหวัดเชียงรายเพื่อรับจ้างขุดหลุมสำหรับปลูกต้นไม้ เมื่อจบงานแล้วจึงขอสมัครเข้าทำงานต่อทันทีจนถึงทุกวันนี้ก็ 36 ปีแล้ว
เพราะสมัยก่อนบนสถานีเกษตรหลวงอ่างขางมีเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คน ลุงจำรัสจึงเป็นอีกคนที่มีโอกาสถวายงานต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใกล้ชิดเช่นกัน แม้จะเป็นเพียงครั้งเดียวแต่ก็ประทับอยู่ในความทรงจำไม่เคยลืมเลือน
"ในขณะที่ผมกำลังดูแลตัดแต่งต้นไม้อยู่นั้น พระองค์ทรงตรัสถามถึงชื่อของผลไม้ชนิดนั้น ผมก็ทูลว่า "ลูกบักโทงเทง" เมื่อทรงพิจารณาแล้วพระองค์ก็ทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยนชื่อเป็น "ระฆังทอง" หรือ "เคปกูสเบอร์รี่" ในปัจจุบันนี้" ลุงจำรัสเล่าด้วยความปลื้มปีติที่แสดงให้เห็นทั้งดวงตาและใบหน้า
ในขณะที่ผู้นำทางพิธีกรรมของชนเผ่ามูเซอดำบ้านขอบด้ง นามว่า "จ่าหมอ" วัย 82 ปี ซึ่งมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิดหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งเสด็จฯ มาที่หมู่บ้านขอบด้ง รับสั่งให้เฮลิคอปเตอร์จอดลงบนเนินหน้าบ้านตัวเอง จากนั้นก็เสด็จฯ เข้าในหมู่บ้านเพื่อทรงเยี่ยม พร้อมทรงมีพระราชปฏิสันถารกับชาวมูเซอดำอย่างไม่ทรงถือพระองค์ เล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดชื่นทันที เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยผู้เฒ่าแห่งดินแดนภูเขาสูงเล่าด้วยภาษากะเหรี่ยงผ่านล่ามว่า ชาวมูเซอดำทุกคนรักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมากที่สุด ยิ่งเมื่อได้ยินว่าทรงมีพระอาการประชวร ก็จะรวมตัวกันทำพิธีสวดมนต์ตามความเชื่อขอให้ทรงหายพระประชวรเร็วๆ
แม้ร่างกายจะดูไร้เรี่ยวแรง หากแต่ทุกน้ำเสียงทุกถ้อยคำของ "จ่าหมอ" เมื่อกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลับก้องกังวานเต็มไปด้วยความจงรักภักดีแบบซื่อๆ ว่า "พระองค์บอกให้พวกเราเลิกปลูกฝิ่น เลิกตัดไม้ทำลายป่า เพราะไม่มีประโยชน์ แล้วให้หันมาปลูกพืชผักและดอกไม้แทน พอปลูกแล้วพระองค์ก็ให้คนมารับซื้ออีกที ทำให้มูเซอมีรายได้มากขึ้นมีความเป็นอยู่ดีขึ้น และพระองค์ยังให้ควาย 2 ตัว แก่มูเซอดำบ้านขอบด้งเลี้ยง จนถึงวันนี้ก็เอาแจกจ่ายให้แก่ญาติๆ มูเซอที่บ้านป่าคาและบ้านหนองเต่าได้นับร้อยตัว ชาวมูเซอดำทุกคนรักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยากให้พระองค์อยู่กับพวกเราไปนานๆ ถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ได้มาหานานแล้วก็ตาม"
"นาโม" หัวหน้าชาวเขาเผ่า "ปะหล่อง" อีกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการให้เข้ามาอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทยใต้ร่มพระบารมี เล่าว่าเมื่อปี 2527 ขณะนั้นกลุ่มของตัวเองอาศัยอยู่ตามตะเข็บชายแดนระหว่างประเทศไทยและพม่า อยากจะเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแต่เข้ามาไม่ได้เพราะมีทหารเฝ้าอยู่ เมื่อได้ยินจากเพื่อนว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่เสด็จฯ มาที่อ่างขาง จึงเดินเท้าเข้ามาโดยใช้เวลานานกว่า 18 วัน เพื่อนำพระมาถวายพร้อมกับขอพาลูกๆ หลานๆ เข้ามาอยู่ในประเทศไทย
"พระองค์ถามว่า เผ่าปะหล่องคือใคร ก็ตอบไปว่า พวกเราไม่ใช่คนพม่า ไม่ใช่คนจีน อาศัยอยู่ในเขตแนวติดต่อระหว่างพม่าและทางตอนใต้ของประเทศจีนบ้าง แต่อยากจะเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ซึ่ง พระองค์ก็บอกว่า "อยู่ได้" นับแต่นั้นพวกเราชาวปะหล่องจึงได้เข้ามาปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านนอแล ห่างจากหมู่บ้านขอบด้งประมาณ 2 กิโลเมตร ด้วยพระบารมีของพระองค์ ปัจจุบันชาวปะหล่องทำอาชีพปลูกผัก ผลไม้ ดอกไม้ ทุกวันนี้ดีใจมากที่ได้อยู่เมืองไทย" หัวหน้าชนกลุ่มปะหล่อง กล่าว
แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในพระราชกรณียกิจที่ทรงมีต่อชนกลุ่มน้อย ที่เป็นเพียงกลุ่มคนที่มาอาศัยพักพิงแผ่นดินใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงใส่พระราชหฤทัยให้มีความเป็นอยู่ที่ดี มีวิถีชีวิตที่สงบสุข เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 5 ธันวาคม พระชนมพรรษา 82 พรรษา ข้าพเจ้าทีมข่าว นสพ. คม ชัด ลึก ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพร ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสุข และทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ