
แห่แจ้งความแก๊งจับลิขสิทธิ์ พบผู้เสียหายหลายราย
แห่แจ้งความแก๊งจับลิขสิทธิ์ตะลึงพบผู้เสียหายอื้อ
จากกรณีที่ น.ส.กนกลักษณ์ ถาวรประภาสวัสดิ์ อายุ 29 ปี ถูกกลุ่มบุคคลที่อ้างเป็นตัวแทนจาก บริษัท อนิเมชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เข้าจับกุมลิขสิทธิ์ตัวต่อรูปโดราเอม่อนและโดราเอมี่ ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งของเมืองนครสวรรค์
โดยเสียค่าปรับหลังมีการต่อรองจากราคา 50,000 บาท เหลือ 25,000 บาท ซึ่งภายหลังการจับกุมและเสียค่าปรับจนยอมความกันแล้ว น.ส.กนกลักษณ์ ได้ไปเห็นการนำเสนอข่าวลิขสิทธิ์โดราเอม่อนจนเกิดความไม่มั่นใจ ว่าการที่ถูกจับกุมเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่
จึงมีการเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ เพื่อขอให้เชิญตัวนายพิพล โตต้นติกุล ผู้ที่อ้างเป็นตัวแทนลิขสิทธิ์ที่จับกุมเธอในวันนั้น ให้นำหลักฐานการรับมอบอำนาจจากบริษัท มาชี้แจงข้อเท็จจริงว่าถูกต้องหรือไม่ พร้อมกับมีการเรียกขอเงินค่าปรับทั้งหมดคืนด้วย
โดยมีการนัดเจรจาเพื่อให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำในวันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ตามที่มีการเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้นั้นเกี่ยวกับดังกล่าว หลังจากมีการนำเสนอข่าวออกไป ปรากฏว่า ทำให้มีผู้ที่เคยถูกจับกุมสินค้าลิขสิทธิ์ที่มีรูปการ์ตูนโดราเอม่อนหลายราย
ต่างนำเรื่องราวที่เคยถูกจับลิขสิทธิ์จับกุมมาเล่าผ่านทางเฟซบุ๊ก ซึ่งพฤติการณ์ถูกจับกุมนั้น คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ น.ส.กนกลักษณ์ เคยถูกจับ โดยมีคนใช้ชื่อเฟซบุ๊ก Nung Ning รูปโปรไพล์ดำมืด ทำทีมาสอบถามสินค้าทีมีรูปการ์ตูนโดเรม่อนเป็นส่วนประกอบ พร้อมกับสั่งซื้อ และนัดให้มาส่งของก่อนถูกจับกุม
ซึ่งวันนี้ (8 พฤศจิกายน 2562) ได้พบว่ามีผู้ที่เคยถูกกลุ่มตัวแทนจับลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนโดราเอม่อนจับกุม ถึง 4 ราย เดินทางมาพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์ เพื่อขอให้นำคดีที่เคยถูกกลุ่มตัวแทนจับลิขสิทธิ์จับกุม มาตรวจสอบใหม่ ว่าขั้นตอนการจับกุมทั้งหมดถูกต้องหรือไม่
เนื่องจากพฤติกรรมการจับกุมของกลุ่มตัวแทนจับลิขสิทธิ์มักจะใช้การรุมล้อมกดดัน และมักจะเลือกจับกับกลุ่มคนที่เป็นเยาวชน และกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ที่สร้างตัวต้องการหารายได้เสริมช่วยครอบครัว
จากการสอบถาม น.ส.ฐิติพร อายุ 30 ปี หนึ่งในผู้ที่ถูกตัวแทนลิขสิทธิ์โดราเอม่อนจับกลุ่ม ได้รับการเปิดเผยว่า ตนเองเพิ่งเรียนจบมา แต่ยังอยู่ในระหว่างสมัครงาน จึงได้มาลองหารายได้เสริมในระหว่างนี้ โดยการขายกระเป๋าทางออนไลน์ไปก่อน
ซึ่งตนจะใช้วิธีเอารูปสินค้าจากร้านค้าต่างๆ ที่กรุงเทพ นำไปโพสต์ขายไว้ตามเฟซบุ๊กกลุ่มธุรกิจต่างๆ จนกระทั่ง การขายของครั้งแรกของตน ก็ต้องมาพบกับเหตุการณ์ที่ต้องจดจำไปทั้งชีวิต
เพราะเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Nung Ning ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิง ได้ทักมาขอสั่งซื้อกระเป๋าสตางค์ลายการ์ตูนรูปโดเรม่อน จำนวน 12 ใบ เป็นเงินจำนวน 1,500 บาท โดยมีการโอนเงินมัดจำไว้ก่อน 500 บาท แล้วนัดส่งของกันใจกลางเมืองนครสวรรค์
ในช่วงบ่ายวันที่ 16 สิงหาคม แต่ปรากฏว่า เมื่อนำของไปส่ง กลับพบเจอกลุ่มชายฉกรรณ์ 3-4 คน มากับตำรวจนอกเครื่องแบบอีก 1 นาย มาสอบถามเรื่องสินค้าก่อนจะล้อมจับตนขายของที่ลิขสิทธิ์รูปโดราเอม่อน พร้อมกับบอกให้ตนต้องเสียค่าปรับเป็นเงินทั้งหมด 70,000 บาท
“เป็นที่น่าสังเกตว่า การจับกุมของกลุ่มตัวแทนจับลิขสิทธิ์กลุ่มนี้ จะใช้บุคคลหลายคน เริ่มตั้งแต่คนใช้เฟซบุ๊กมาติดต่อสั่งซื้อ คนโอนเงินค่ามัดจำ จนกระทั่ง พอถึงวันนัดส่งของก็อีกบุคคลหนึ่งมารับ จากนั้น เมื่อมีการจ่ายเงินกัน ก็จะกลุ่มตัวแทนจับลิขสิทธิ์เข้าจับกุมทันที
พร้อมกับพาตนเดินทางไปที่โรงพัก เข้าไปที่ห้องมืดภายในอาคารของชุดสืบสวน โดยสังเกตว่า ตอนที่จะมีการทำบันทึกจับกุม ไม่มีตำรวจอยู่ร่วมด้วย มีเพียงแต่กลุ่มตัวแทนจับลิขสิทธิ์รุมล้อมตนอยู่ภายในห้อง พยายามพูดกดดันอยู่ตลอด ถึงเรื่องค่าปรับ
หากไม่มีเงินมาจ่าย จะต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งจะต้องมีค่าใช่จ่ายในการสู้คดีมากกว่าที่จะต้องเสียค่าปรับ จนทำให้ตนต้องตัดสินใจติดต่อพ่อให้มาเจรจา จนกระทั่งตกลงจะจ่ายค่าปรับให้ เป็นเงินจำนวน 20,000 บาท จึงมีการถอนแจ้งความ และมีการจ่ายเงินกันภายในโรงพัก
โดยมีบุคคลอีกบุคคลหนึ่งมารับเงินพร้อมกับเซ็นต์ถอนแจ้งความ ลงบันทึกระบุชื่อนายฐิติศักดิ์ หลีจิ เป็นตัวแทนลิขสิทธิ์โดราเอม่อน จากบริษัท แอนนิเมชั่น (ประเทศไทย) จำกัด แต่ภายหลัง ตนมาเห็นข่าวที่มีการนำเสนอเมื่อวาน
พบว่าบริษัทที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ตัวจริง กลับเป็นบริษัท อนิเมชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด จึงทำให้เกิดความสงสัยในหลายๆ อย่าง จึงเดินทางมาเข้าพบตำรวจเพื่อขอให้ตรวจสอบคดีนี้ใหม่ว่า กลุ่มตัวแทนจับลิขสิทธิ์กลุ่มนี้ มาอย่างถูกต้องหรือไม่” น.ส.ฐิติพร กล่าว
ส่วนผู้ที่ถูกจับอีกรายหนึ่ง คือ นายเชาวลิต ทองยิ้ม อายุ 50 ปี ได้เล่าเหตุการณ์ที่ถูกจับกุมว่า บุตรสาว คือ น.ส.นริศรา ทองยิ้ม วัย 17 ปี และบุตรสาวอีกคนหนึ่ง วัย 16 ปี ต้องการหารายได้เสริมเพื่อช่วยครอบครัว จึงได้ขายสินค้าแก้วเยติหลายลาย
ซึ่งก็มีลายการ์ตูนโดราม่อนและวันพีชรวมอยู่ด้วย จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งทักมาขอติดต่อกับลูกสาว โดยมีการสั่งซื้อแก้วเยติลายการ์ตูนโดราม่อนและลายการ์ตูนวันพีช อย่างละ 10 แก้ว และนัดรับของที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ตนจึงได้ขับขี่รถจักรยานยนต์พาลูกสาวทั้งสองนำของไปส่งขายตามสถานที่ที่มีการนัดหมาย แล้วปรากฏว่า เมื่อไปถึงก็พบกลุ่มบุคคล 3-4 คน มีทั้งชายและหญิง เข้ามารุมล้อมสอบถามว่ามาส่งแก้วใช่หรือไม่ แล้วล้อมจับลูกสาวตนทั้ง 2 คนทันที ซึ่งหลังจากโดยจับพร้อมของกลาง
จึงถูกกลุ่มบุคคลที่อ้างเป็นตัวแทนลิขสิทธิ์พาขึ้นรถไปเจรจากันที่ห้องแห่งหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามโรงพักเมืองนครสวรรค์ โดยมีการเรียกเงินค่าปรับคนละ 80,000 บาท รวมเป็นเงิน 16,0000 บาท“เขาพยายามพูดจากดดันอยู่ตลอด
โดยบอกว่าให้หาเงินมาเสียค่าปรับดีกว่าการถูกดำเนินคดีอาญา ทำให้บุตรสาวทั้งสองมีคดีและมีประวัติติดตัว ซึ่งจะมีผลต่ออนาคตของลูก จึงทำให้ผมตัดสินใจเจรจาต่อรองค่าปรับ จากคนละ 80,000 บาท เหลือคนละ 15,000 บาท รวมเป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท
พร้อมกับยังได้ขอร้องให้จับปรับ โดยใช้ชื่อลูกสาวคนเล็กแทนด้วย เพราะผมสงสารลูก กลัวลูกจะมาเสียอนาคต เนื่องจากยังเด็ก ส่วนเงินที่นำมาจ่ายเป็นค่าปรับนั้น ผมก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจากคนที่รู้จักกันมาจ่าย ซึ่งตอนใช้คืนก็ต้องเสียดอกเบี้ยให้กับคนที่กู้ยืมมาด้วย ทำให้ครอบครัวได้รับความเดือดร้อนหนัก
แต่เมื่อเห็นข่าวจึงตัดสินใจเดินทางมาขอพบตำรวจเพื่อให้ช่วยตรวจสอบคดีใหม่อีกครั้ง โดยหวังว่าจะขอเงินค่าปรับคืนเพื่อเอากลับไปใช้หนี้” นายเชาวลิต ระบุเมื่อถามว่า ตอนทำบันทึกการจับกุม มีตำรวจและกลุ่มสหวิชาชีพมาร่วมการสอบสวนด้วยหรือไม่ เนื่องจากยังเป็นเยาวชน โดย นายเชาวลิต ระบุว่า ตั้งแต่การจับกุมก็ไม่มีตำรวจมาร่วมจับกุมด้วย ตนและลูกสาวอีกสองคน อยู่ในความควบคุมของกลุ่มตัวแทนจับลิขสิทธิ์อยู่ตลอด
ซึ่งก็ยังสังเกตว่า ทำไมกลุ่มพวกเขาถึงใช้ห้องทำงานของตำรวจได้อย่างสบาย โดยที่ไม่มีตำรวจร่วมอยู่ด้วยแม้แต่คนเดียวทั้งนี้ ในระหว่างที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการ รับแจ้งลงบันทึกประจำวันตามที่กลุ่มผู้ถูกจับกุมทั้ง 4 ราย ร้องขอให้มีการตรวจสอบคดีใหม่อีกครั้งนั้น
ปรากฏว่า นายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ ได้เดินทางมาที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ เพื่อช่วยติดตามเรื่องดังกล่าว ในการหาทางช่วยเหลือ ซึ่งก็พบว่า ผู้ที่มาร้องทุกข์ทั้ง 4 รายนั้น
ได้มีการยอมความไปแล้ว จึงจะต้องมีการตรวจสอบว่าจะมีข้อกฎหมายช่วยเหลืออะไรได้บ้าง แต่หากผู้ที่เคยถูกจับกุมไม่ได้รับความเป็นธรรม จะนำเรื่องไปหารือเพื่อหาแนวทางในการป้องกันต่อไป.
ภาพ/ข่าว รณกฤต วรณันวรกุล ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครสวรรค์ รายงาน