ข่าว

ไบโอไทย เตือน อ.เจษฎา ผู้บริหารไม่ต้องรู้ทุกเรื่อง

ไบโอไทย เตือน อ.เจษฎา ผู้บริหารไม่ต้องรู้ทุกเรื่อง

14 ต.ค. 2562

ไบโอไทย โพสต์เฟซบุ๊ก เตือนนักวิชาการคนดัง ผู้บริหารไม่ต้องรู้ทุกเรื่อง

 

               วันที่ 14 ต.ค.2562 มูลนิธิชีววิถี หรือ ไบโอไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก BIOTHAI ไปยัง รศ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข กรณีที่นายอนุทิน สนับสนุนให้มีการแบนสารเคมีที่มีความเสี่ยงสูง 3 ชนิด โดยเฟซบุ๊กดังกล่าว ระบุว่า 

 

               "ไบโอไทยเตือนเจษฎา ผู้บริหารไม่จำเป็นต้อง “รู้ทุกเรื่อง” ขอให้มีจุดยืนปกป้องผลประโยชน์ประชาชน มีวิจารณญาณ และเลือกที่ปรึกษาเก่งๆ ชี้ควรไปสำรวจตัวเองว่าเป็นประเภทรู้ครึ่งๆ กลางๆ แล้วเลือกใช้ข้อมูลเฉพาะส่วนที่สนับสนุนบริษัทสารเคมีหรือไม่ ?

 

               ตามที่ รศ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้ออกมาเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข เกี่ยวกับกรณีที่นายอนุทินสนับสนุนให้มีการแบนสารเคมีที่มีความเสี่ยงสูงทั้ง 3 ชนิด โดยบอกว่า “คุณอนุทินและรัฐมนตรีในสังกัด โดนหลอกให้เป็นเครื่องมือในการแบนสารเคมีทางการเกษตรทั้ง 3 ชนิด โดยที่คุณอนุทินได้รับข้อมูลความรู้ที่ไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง” นั้น

 

               เราคิดว่าผู้บริหารแบบคุณอนุทิน หรือคุณมนัญญา นั้นไม่จำเป็นต้อง “รู้ทุกเรื่อง” เพราะสามารถเลือกรับคำปรึกษาจากนักวิชาการเก่งๆแบบ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ ส่วนคุณมนัญญา รมช.เกษตรฯนั้น ทราบว่ามีการแต่งตั้งอดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตรถึง 2 คนมาเป็นที่ปรึกษา 

 

               อย่าลืมว่ากรณีการเสนอแบน/จำกัดการใช้ทั้ง 3 สารนั้น มิได้เริ่มจากคุณอนุทิน แต่เป็นมติที่มีมาตั้งแต่สมัย ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาธรแล้ว ทั้งยังเป็นการเห็นพ้องต้องกันโดยองค์กรด้านสุขภาพและอื่นๆ เป็นจำนวนมาก เช่น แพทยสภา สภาเภสัชกรรม สภาเกษตรกรแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นต้น

 

 

               กรณีพาราควอตนั้น มีประเทศต่างๆแบนและประกาศแบนแล้วถึง 58 ประเทศ ส่วนคลอร์ไพริฟอสแบนแล้ว 16 ประเทศ แต่หลังจาก EFSA แถลงล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในปีหน้าจำนวนประเทศที่ยกเลิกการใช้จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยไม่ควรเป็นประเทศสุดท้ายที่แบนสารพิษร้ายแรงดังกล่าว  ส่วนกรณีไกลโฟเซตหลังมีคำพิพากษา3-4 คดี ให้บริษัทชดใช้ค่าเสียหายนับหมื่นล้านบาท และมีคดีขึ้นสู่ศาลกว่า 18,400 คดีแล้ว ประเทศต่างๆ ก็เริ่มทยอยแบนกันมากขึ้น

 

               ไบโอไทยเห็นว่า ปัญหาเรื่องการแบนสารพิษที่เป็นปัญหาหมักหมมมานาน นักวิชาการและระบบราชการนั่นแหละที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา  โดยเฉพาะนักวิชาการบางคนที่รู้แบบ “ครึ่งๆ กลางๆ”  เช่น กรณีที่บอกว่าไกลโฟเซต ปลอดภัยพอๆ กับเกลือแกง เพราะดูแค่พิษเฉียบพลัน ไม่เข้าใจเรื่องพิษเรื้อรังซึ่งซึ่งสถาบันวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) ภายใต้องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นสารที่น่าจะก่อมะเร็ง

 

               บางทีการรู้ครึ่งๆ กลางๆ นั้นก็น่าตั้งคำถามว่าไม่รู้จริงๆ หรือจงใจเลือกรับข้อมูลจากฝ่ายบริษัทเคมีเกษตรแทนที่จะเลือกรับจากฝ่ายที่ปกป้องสุขภาพของประชาชนโดยไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

 

               ไบโอไทยเคยดีเบทกับ อ.เจษฎา ในกรณีพืชดัดแปลงพันธุกรรม เคยนึกแปลกใจว่าทำไมข้อมูลจากมุม อ.เจษฎ์ ถึงมาจากข้อมูลที่ผลิตจากฝ่ายบริษัทยักษ์ใหญ่ เมื่อดีเบทกันเสร็จอ.เจษฎ์มอบหนังสือให้เราเล่มหนึ่ง พลิกไปดูหน้าแรกๆแล้วตกใจ เมื่อพบว่าหนังสือเล่มที่แกรวบรวมเรียบเรียงเกี่ยวกับพืชดัดแปลงพันธุกรรมนั้น สนับสนุนข้อมูลในการเขียนจาก CropLife Asia และพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่โดยเงินทุนจากองค์กรดังกล่าว

 

               อยากรู้ว่าสมาชิกของ CropLife Asia มีบริษัทไหนบ้างให้คลิกไปที่นี่ http://www.croplifeasia.org/about-us/member-companies/ จะพบว่า ที่จริงก็คือบริษัทเคมีเกษตรข้ามชาติที่ผลิตและจำหน่ายพาราควอต และไกลโฟเซตนั่นเอง

 

               นักวิชาการแบบ อ.เจษฎ์เตือนนักการเมืองแบบคุณอนุทินเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่คุณควรเตือนตัวคุณเองด้วยว่า ก่อนหน้าไปบอกให้คุณอนุทิน “ระวังถูกหลอก” นั้น ตัวเองมีความรู้เรื่องสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากน้อยเพียงใด ถ้ารู้แบบครึ่งๆกลางๆ เอาข้อมูลจากนักวิชาการฝ่ายสนับสนุนสารพิษที่ใกล้ชิดบริษัทมาเผยแพร่อยู่  เหมือนที่เลือกใช้ข้อมูลจาก CropLife  ซึ่งองค์กรของบริษัทผลิตพืชดัดแปลงพันธุกรรมด้วยพร้อมๆกับขายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชไปด้วย 

 

               ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองแบบคุณอนุทิน และคุณมนัญญา ที่ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง นักวิชาการแบบ อ.เจษฎ์หรือ ไบโอไทยเอง ก็ไม่จำเป็นต้อง “รู้ทุกเรื่อง”  สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือคุณเลือกยืนอยู่ข้างผลประโยชน์ของประชาชนหรือบริษัทยักษ์ใหญ่ ต่างหาก