ข่าว

 “ชาตินิยม” หรือ “คลั่งชาติ” !!! (2)

“ชาตินิยม” หรือ “คลั่งชาติ” !!! (2)

27 พ.ย. 2552

สัปดาห์ที่แล้วผมพูดถึงการปลุกกระแส “ชาตินิยม” ที่สุดท้ายหากควบคุมกันไม่อยู่แล้วจะกลายเป็นกระแส “คลั่งชาติ” ดังนั้น จึงขอเตือนสติผู้ที่อยู่เบื้องหลังการ “ปลุกระดม” มวลชน (Propaganda) ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไรเอาไว้ว่า พวกท่านกำลังคิดผิดครับ ไม่มีฝ่ายใดชนะหรอก

 สำหรับกรณีความขัดแย้งระหว่างไทยกับเขมรนั้น คงจำได้ว่าเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2546 กระแส “ชาตินิยม” ที่ถูกปลุกให้กลายเป็นความ “คลั่งชาติ” ของชาวขะแมร์ โดยผ่านกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อ “ปลุกระดม” ใส่สีตีข่าว ปล่อยข่าวลือในกรณีน้อง “กบ” ดาราไทย พูดพาดพิงถึงสิทธิครอบครองเหนือนครวัด อีกทั้งยังมีการปล่อยข่าวลือซ้ำอีกว่า นักการทูตกัมพูชาในกรุงเทพฯ ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมทารุณ เป็นกระบวนการปลุกระดมมวลชนที่ข้าราชการระดับสูงของเขมร “ปากว่าตาขยิบ” เปิดไฟเขียว จนเกิดการชุมนุมประท้วงที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนนำไปสู่การเผาสถานทูตไทยกลางกรุงพนมเปญในที่สุด

 จะเห็นว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานก่อนการเลือกตั้งครั้งใหญ่ในเขมร ลัทธิ “คลั่งชาติ” อันเป็นผลมาจากปลุกกระแสความรู้สึก “ชาตินิยม” ถูกนำมาใช้เพื่อนำไปสู่เป้าหมายสูงสุด คือ การได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง (ที่ ฮุน เซน ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีเขมรในคราวนั้น) จะทำการด้วยวิธีการสกปรกใดๆ ก็ได้ โดยไม่สนใจว่าผลจากการกระทำของนักการเมืองเขมรที่ชักใยอยู่เบื้องหลังการเผาสถานทูตไทยครั้งนั้น ได้ฝากเป็นรอยแผลบาดลึกในใจคนไทยที่คงไม่สามารถลืมกันไปง่ายๆ 

 หากมองย้อนกลับไปในอดีต สังคมไทยเคยได้เรียนรู้การปลุกกระแส “ชาตินิยม” ซึ่งเคยทำกันมาหลายต่อหลายครั้ง ที่เห็นชัดเจนที่สุดก็ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ตอนนั้นเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งบนเขตพื้นที่ทับซ้อนบริเวณชายแดนเขาพระวิหาร (ที่ยังคงคาราคาซังกันจนถึงปัจจุบัน) กระแสความ “คลั่งชาติ” นั้นหากควบคุมกันไม่อยู่ก็อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าและนำไปสู่การใช้กำลังต่อกันได้ง่ายๆ และท้ายที่สุดก็จะก่อให้เกิดรอยร้าวที่บาดลึกยากจะประสานของประชาคมทั้งสองฝ่าย จะว่ากันไปตามเนื้อผ้าแล้ว การเผชิญหน้าระหว่างไทยกับกัมพูชาในครั้งนี้แท้จริงแล้วเป็นการเล่นเกมทางการเมืองที่ยังประโยชน์ให้คนเพียงหยิบมือไม่กี่กลุ่ม บนความทุกข์ของคนส่วนใหญ่ของสองประเทศครับ

 สารภาพตามตรงครับ ว่าผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเล่นเกมการเมืองในรูปแบบนี้เต็มกำลัง เพราะส่งผลให้ “บ้านดีเมืองดี” ของสยามประเทศของเรา ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ดีในทุกๆ ด้านกลับไม่สามารถพัฒนาบรรดา “ของดีมีอยู่” เหล่านี้ให้เจริญรุ่งเรืองทัดเทียมกับอารยประเทศอื่นๆ ได้ก็ด้วยความไร้จริยธรรมและคุณธรรมของคนเพียงไม่กี่คน ที่ทำให้คนหลายสิบล้านคนต้องมีเหตุทะเลาะวิวาทกันไม่รู้จักจบจักสิ้น ทำให้สังคมไทยที่เคยอยู่อย่างสุข สงบ สันติ ร่มเย็นเป็นสุข ต้องลุกขึ้นเป็นไฟ เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้าครับ  

 แท้จริงแล้วประชาชนส่วนใหญ่อาจจะไม่ทราบครับว่าเหตุการณ์ความขัดแย้งเล็กๆ ที่เกิดขึ้น หากควบคุมกันไม่ดีก็จะบานปลายออกไป ซึ่งจะส่งผลให้บรรยากาศของการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประเทศไทยของเราเป็นศูนย์กลางในทุกๆ ด้านต้องเสียหาย แล้วผมจะมาเฉลยว่า ประเทศไทยของเรานี้มีดีอย่างไร ทำไมบรรดาเพื่อนบ้านที่ล้วนแสดงความหวังดี (แต่ประสงค์ร้าย) จึงอิจฉาตาร้อน พยายามทำทุกวิถีทางมิให้เมืองไทยของเรานั้นสงบสุข เพราะพวกเขาทราบกันดีครับว่าบ้านเมืองของเรานั้นมีของดีที่เหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้านแทบทุกด้าน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้เปรียบในทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์)  

 ดังนั้น ในเกมการช่วงชิงการเป็นผู้นำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ ต้องพยายาม “สกัดดาวรุ่ง” ที่กำลังพุ่งแรงอย่างประเทศไทยให้ได้ มิฉะนั้นก็จะเติบโตขึ้นเป็นพี่ใหญ่ที่มาแรงแซงหน้าบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน จะเห็นได้ว่าในกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในยุคโลกาภิวัตน์นั้นมีมิติที่สลับซับซ้อนเป็นสมการหลายชั้น หากรู้ไม่เท่าทันก็อาจจะพลาดพลั้งและเพลี่ยงพล้ำไปเสีย “ค่าโง่” ได้โดยง่ายครับ

ภัทรพล เวทยสุภรณ์