ข่าว

ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา "บังฟัต" หลังจำเลยที่ 7 ไม่มาศาล

ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา "บังฟัต" หลังจำเลยที่ 7 ไม่มาศาล

04 มิ.ย. 2562

ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา "บังฟัต" หลังจำเลยที่ 7 ไม่มาศาล

วันนี้ศาลจังหวัดกระบี่โดยศาลอุธรณ์ภาค 8 นัดทนายความพร้อม นายซูริก์ฟัต หรือบังฟัต บ้านนบวงศ์สกุล จำเลยรวม 8 คน ที่ร่วมก่อเหตุฆ่า นายวรยุทธ สังหลัง อดีตผู้ใหญ่บ้านเขางาม อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ เสียชีวิตพร้อมครอบครัว รวม 8 ศพ ที่เป็นคดีโด่งดังเมื่อปี 2560 มาฟังคำพิพากษา หลังจากที่ได้ยื่นอุทธรณ์คดีเมื่อปลายปี 2561

คดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิตบังฟัต และจำเลยรวม 6 คน ส่วน นางชลิดา สังข์โชติ ภรรยาบังฟัต รับโทษจำคุก 12 เดือน และนายธวัชชัย บุญคง จำคุก 1 ปี 9 เดือน และได้พ้นโทษออกมาแล้ว ส่วนบังฟัตและพวก 6 คน ที่อยู่ในเรือนจำนครศรีธรรมราช ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะนำตัวมาฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดกระบี่หรือไม่สำหรับผู้ต้องหาทั้งหมดประกอบด้วย 1.นายซูริก์ฟัต หรือ บังฟัต หรือ โทริ บ้านนบวงศ์สกุล อายุ 41 ปี หัวหน้าแก๊ง 2.นายประจักษ์ บุญทอย 3.นายธนชัย จำนอง 4.นายอรุณ ทองคำ, 5.นายธวัฒชัย บุญคง 6.นายอับดุลเลาะ ดอเลาะ 7.นายคมสรรค์ เวียงนนท์ และ 8.น.ส.ชลิดา สังขโชติ ภรรยาอีกคนของบังฟัตต้องยอมรับว่าคดีนี้เป็นคดีอุฉกรรจ์สะเทือนขวัญ ทำให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ในช่วงนั้นต้องล่องใต้โดดลงมาคุมคดีด้วยตนเอง สั่งการให้พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร. คุมทีมจากส่วนกลางร่วมสืบสวนคลี่คลายคดีร่วมกับตำรวจ บช.ภาค 8 และบก.ภ.จว.กระบี่ทันทีส่วนประเด็นที่นำมาสู่การสังหารโหด เกิดจากการที่ผู้ใหญ่บัติ นำโฉนดที่ดินของพ่อตาไปขายฝากไว้กับบังฟัต ระหว่างปี 2552-2554 เป็นเงินล้านกว่าบาท ต่อมาผู้ใหญ่บัติได้รับแจ้งจากธนาคาร ว่ากำลังหลุดจำนองจึงเอาเงินไปไถ่ถอนคืน เมื่อเรื่องเรียบร้อยบังฟัตกลับไม่ยอมคืนโฉนดให้ จนเกิดความขัดแย้งถึงขั้นผู้ใหญ่บัติขู่จะฆ่าล้างโคตรจนกระทั่งบังฟัตเคยถูกลอบยิงมาแล้ว เมื่อปี 2556 แต่ไม่เป็นอะไร จึงไม่ได้แจ้งความ แต่ก็ผูกใจเจ็บเรื่อยมา เคยวางแผนลงมือแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ กระทั่งมาสำเร็จเอาครั้งนี้จากการสอบสวนทราบว่า บังฟัตวางแผนก่อเหตุด้วยการเรียกพวกลูกจ้าง ลูกน้อง ที่รับจ้าง บางคนทำสวนยางพารา รวม 6 คน มาร่วมงาน บอกว่าจะมาทวงหนี้เงินกู้ 3 ล้านบาท และให้ค่าจ้างคนละ 1 พันบาทก่อนก่อเหตุให้ทุกคนเปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบลายพรางเพื่ออำนวยความสะดวกเวลาเดินทางผ่านด่านตรวจนอกจากนี้ยังให้ลูกน้องเรียกตัวเองว่า "ผู้พัน" ขณะที่ลูกน้องที่ก่อเหตุก็เรียกกันว่า "จ่า" และ "ผู้กอง"เบื้องต้นบังฟัตตั้งใจจะฆ่าแค่ผู้ใหญ่บ้านกับเมียเท่านั้น เนื่องจากผู้ใหญ่บ้านเป็นคู่ขัดแย้งที่เคยอาฆาตกันมาก่อน ขณะที่เมียมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดเจ้าปัญหา จึงสวมหมวกไอ้โม่งคลุมหน้าตาป้องกันไม่ให้คนในบ้านจำหน้าได้ เพราะจริงๆ แล้วทั้งบังฟัตและผู้ใหญ่บัติก็เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกันในระดับหนึ่ง แต่เกิดผิดแผน เนื่องจากพอบุกเข้าไปในบ้านแล้วกลับไม่พบเป้าหมาย จึงต้องรออยู่เป็นเวลานานทำให้พยานจำหน้าลูกน้องได้หมดนอกจากนี้เมื่อผู้ใหญ่บัติมาถึงก็ให้ลูกน้องล็อกตัวเอาไปพูดคุย ขณะนั้นผู้ใหญ่บัติเอ่ยชื่อ "โทริ" ซึ่งเป็นฉายาของบังฟัต สมัยเป็นนักมวยใช้ชื่อ "โทริจรวดเล็ก ศักดิ์พรน้อย" ทำให้บังฟัตถอดหมวกไอ้โม่งออก เพราะรู้แล้วว่าผู้ใหญ่บัติจำเสียงได้จึงตัดสินใจฆ่าปิดปากทั้งหมดโดยใช้ปืน .38 ของผู้ใหญ่บัติลั่นไกทีละคน ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงหรือเด็ก อย่างโหดเหี้ยมช่วงนั้นให้ลูกน้องเอาผู้ใหญ่บัติไปขังไว้ในรถ พร้อมให้เซ็นใบโอนรถยาริส และให้โทรศัพท์ไปยืมเงินเพื่อนให้โอนเข้าบัญชี 5 แสนบาท อำพรางว่าเครียดเรื่องปัญหาหนี้สิน และยังยึดบัตรเอทีเอ็มของผู้ใหญ่บัติเพื่อเตรียมไปกดเงินด้วยทั้งนี้ เมื่อลูกน้องคุมตัวผู้ใหญ่บัติเข้ามาในบ้าน เมื่อผู้ใหญ่บัติเห็นคนในบ้านถูกยิงหมดก็คลุ้มคลั่งอาละวาดยื้อยุดอยู่กับบังฟัต ทำให้ปืนหล่น ขณะนั้นนายอรุณ หรือบังกี ลูกน้องก็ใช้ปืนยิงใส่ผู้ใหญ่บัติจนเสียชีวิต จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมนายวรยุทธ ที่ถูกจัดฉากว่าฆ่าตัวตายหลังยิงครอบครัว ถึงมีหัวกระสุนในร่างกายถึง 4 นัดเมื่อก่อเหตุเสร็จเรียบร้อย บังฟัต และพวกก็หลบหนี พร้อมเอาฮาร์ดดิสก์จากกล้องวงจรปิด และรถยาริส ของผู้ใหญ่บัติ เพื่อเอาไปเผาอำพรางที่ จ.พังงา ซึ่งเอาแบบอย่างจากภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนที่เคยดูมา นอกจากนี้ยังนำรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ไปซุกซ่อนไว้ที่เต็นท์เช่ารถแห่งหนึ่งใน จ.กระบี่ ใกล้ๆ กับที่เกิดเหตุ เพื่อป้องกันการถูกตรวจจับจากกล้องวงจรปิด แล้วแยกกัน โดยรถโตโยต้า ยาริส สีขาว ที่ใช้ก่อเหตุเอาไปฝากที่บ้านนายไพศาล จำนอง น้องภรรยา ที่บ้านม่วงสองต้น ต.นาสาร อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราชจากนั้นนั่งรถตู้โดยสารจากบขส.นครศรีธรรมราช หลบหนีไปกบดานที่ จ.ภูเก็ต ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับกุมได้ในที่สุด