
เกษตรกรยุคใหม่ - ประกันภัยพืชผล
ทุกปีเราจะได้ยินเรื่องความเสียหายของพืชผลอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง หรือน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ และวิธีการแก้ปัญหาของรัฐก็คือการจ่ายเงินค่าชดเชย
อย่างเช่น หากเป็นนาข้าวก็จะได้รับค่าชดเชยความเสียหายประมาณไร่ละ 600 บาท ซึ่งยังไม่เพียงพอกับต้นทุนที่ได้ลงไปแล้ว และที่สำคัญคือในทางปฏิบัติแล้ว หากไม่เกิดความเสียหาย เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่สามารถใช้เงินก้อนนี้ได้ ดังนั้นแนวคิดที่จะหาทางป้องกันไว้ก่อน จึงทำได้ยากเพราะว่าไม่มีเงินมาทำเนื่องจากติดปัญหาเรื่องกฎระเบียบต่างๆ
แนวคิดเรื่องการชดเชยความเสียหายอีกแบบหนึ่งคือเรื่อง การประกันภัย ซึ่งตัวอย่างที่เห็นกันทั่วไปก็คือการทำประกันภัยรถยนต์หรือประกันชีวิต หมายความว่าหากเราประสงค์จะลดความเสี่ยงจากความเสียหายที่คาดไม่ถึง ก็สามารถทำประกันได้ หลายคนอาจสงสัยว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าจะให้มีการประกันภัยพืชผลที่เกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ และหากเป็นไปได้จะมีวิธีดำเนินการได้อย่างไร
เรื่องการประกันภัยพืชผลนี้มีการทำมานานในหลายประเทศที่เจริญแล้ว แต่เป็นเรื่องใหม่สำหรับเมืองไทย จึงมีข้อสงสัยและไม่เข้าใจอยู่มาก โดยเฉพาะมักจะเกิดความสับสนกับคำว่า ประกันราคาพืชผล และการรับจำนำ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการประกันภัยพืชผล เรื่องของการประกันภัยพืชผลก็ไม่แตกต่างจากการประกันภัยประเภทอื่นๆ คือต้องมีการจ่ายเบี้ยประกัน และเมื่อเกิดความเสียหายตามที่ตกลงกันไว้ในกรมธรรม์ ผู้เอาประกันก็จะได้รับเงินชดเชยตามที่ตกลงกันไว้ แต่หากไม่เสียหาย เงินเบี้ยประกันก็ตกเป็นของบริษัทผู้รับประกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือรูปแบบของธุรกิจอย่างหนึ่ง
ตอนนี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร คือ รศ.ดร.ชฎา ณรงค์ฤทธิ์ กำลังศึกษาวิจัยเรื่องนี้อยู่เพื่อดูความเป็นไปได้ในการใช้ระบบประกันภัยหรือประกันความเสียหายของข้าวจากภาวะน้ำท่วมหรือน้ำแล้ง โดยได้ทดลองเบื้องต้นใน จ.กำแพงเพชร เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมและดูความเป็นไปได้ที่เกษตรกรจะยอมรับและยินดีเข้าร่วมโครงการ เพราะมีแนวคิดว่า หากสามารถพัฒนาระบบประกันภัยข้าวแบบนี้ขึ้นมาได้ ก็จะทำให้เกษตรกรได้รับค่าชดเชยอย่างน้อยที่สุดก็คุ้มกับเงินลงทุนในเรื่องของค่าวัสดุที่ได้จ่ายไปแล้ว
ที่สำคัญคือ ผลกระทบที่จะตามมาหลายอย่าง เช่น รัฐน่าจะเสียค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการชดเชยความเสียหายลดลง เกษตรกรน่าจะได้รับการชดเชยที่พอเพียง และเกิดการเติบโตของธุรกิจประกันภัยในประเทศมากขึ้น
ยกตัวอย่าง หากรัฐยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยความเสียหายของพืชผลเนื่องจากภัยธรรมชาติดังกล่าว และนำเงินส่วนหนึ่งมาสมทบเป็นค่าเบี้ยประกันภัยให้แก่เกษตรกรแทน หากมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นและผลิตผลเสียหาย รัฐก็ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเพิ่ม แต่ให้เป็นภาระของบริษัทประกันภัย ซึ่งจะต้องจ่ายให้เกษตรกรในจำนวนเงินที่ตกลงกันไว้ตามสัดส่วนของเบี้ยประกัน จะเห็นว่าโดยหลักการแล้วดีมาก เพียงแต่ว่าในทางปฏิบัติจะเกิดปัญหามากมาย
โดยเฉพาะติดขัดเรื่องของระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ของทางราชการ ซึ่งจะต้องแก้ไขกันต่อไป ผลจากการศึกษาเบื้องต้นของนักวิจัยก็พบว่ามีแนวทางที่จะจัดการได้ รวมไปถึงแนวทางในการกำหนดเบี้ยประกันและค่าชดเชยว่าควรจะเป็นเท่าใด โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วย
คราวหน้าผมจะมาเล่ารายละเอียดของการวิจัยและข้อค้นพบที่น่าสนใจ เพื่อให้เห็นว่าแนวทางการผลักดันเรื่องการประกันภัยดังกล่าวมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดครับ!
พีระเดช ทองอำไพ