ข่าว

ปชป. ฮึ่ม จัดชุดใหญ่เอาผิด กกต.

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ปชป. ซัด กกต. ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ แจก ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเล็กคะแนนไม่ถึง 7 หมื่น ขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ - ก.ม. เลือก ส.ส.

 

               9 พ.ค. 62 ที่ พรรคประชาธิปัตย์  นายราเมศ รัตนะเชวง รักษาการกรรมการบริหารพรรค และนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้สมัคร ส.ส. สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ และอดีต กกต. ได้แถลงข่าวโต้แย้งผลการคำนวณสัดส่วน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อของ กกต.

 

 

 

               นายราเมศ ระบุว่า การคำนวณจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ ของ กกต. ที่ใช้สูตรให้พรรคการเมืองที่ไม่มีสิทธิ์จะได้รับการจัดสรรปันส่วนให้ได้รับจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ ทั้งที่ไม่มีจำนวน ส.ส. ที่จะพึงมีได้ตามกฎหมายนั้น พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ขอเรียนว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (ศร.) พรรคน้อมรับ ซึ่งข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยเป็นประเด็นสาระสำคัญคือ มาตรา 128 ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พ.ศ. 2561 ไม่ขัดกับบทญัตติรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 91 เพียงเท่านั้น โดยการแถลงวันนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการท้วงติง กกต. เพื่อให้รับทราบประเด็นปัญหา ตามหลักการความถูกต้อง กกต. ที่ว่าจะต้องสุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม เพราะการประกาศผลคำนวณคะแนนจัดสรรจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ ขัดแย้งกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 91 และ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ มาตรา 128 และไม่ถูกต้องด้วยหลักการ

               การกระทำที่ขัดแย้งกับหลักการในกฎหมายชัดเจน คือ การขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 91 โดยเจตนารมณ์กฎหมายข้อดังกล่าวการได้มาของจำนวน ส.ส. ในสภานั้น ต้องสะท้อนคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชน โดยจำนวนเสียงของประชาชนจะกำหนดจำนวน ส.ส. ที่แต่ละพรรคการเมืองพึงจะมี มาตรา 91 ระบุชัดว่า พรรคการเมืองจะมี ส.ส. มากกว่าที่จะพึงมีนั้นไม่ได้ โดยพรรคการเมืองที่จะมี ส.ส. ได้มากกว่าจำนวนจะพึงมี กฎหมายยอมในเรื่องเดียวคือพรรคการเมืองนั้นได้รับการเลือกตั้ง ส.ส. ระบบเขต มากกว่าจำนวน ส.ส. พึงมีที่พรรคนั้นจะได้ ซึ่งการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็คือพรรคเพื่อไทย แต่ถ้าพรรคการเมืองใดไม่มีจำนวน ส.ส. ที่พึงจะมีแล้วพรรคนั้นไม่มีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญฯ ที่จะได้รับการจัดสรร ส.ส. บัญชีรายชื่อ ถ้าพรรคใดได้ ส.ส. เขต จำนวนต่ำกว่าจำนวน ส.ส. พึงมี จึงจะได้รับการจัดสรรสัดส่วน ส.ส. บัญชีรายชื่อ นี้ไปให้ครบเต็มตามจำนวนที่พึงจะมีนั้น แต่จะไปจัดจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ ให้พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงมาไม่ถึง 71,168.5141 คะแนน ไม่ได้ ซึ่งตัวเลขคะแนนนั้น กกต. คำนวณไว้สำหรับการจัดสรรจำนวน ส.ส. 1 คน ให้พรรคการเมือง ดังนั้น ถ้าคะแนนได้เท่าจำนวนนั้นพรรคจึงมีสิทธิ์ได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 1 คน

 

 

 

               ขณะที่รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 91 ระบุให้นำจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ ทั้งหมดมาจัดสรรให้พรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตต่ำกว่าจำนวน ส.ส. ที่พึงจะมี สมมติว่าพรรคหนึ่งมีสัดส่วน ส.ส. พึงมีได้ 5 คน แล้วเลือกตั้งได้ ส.ส. เขต มาแค่ 3 คน พรรคนั้นยังมีสิทธิ์ได้รับการจัดสรร ส.ส. บัญชีรายชื่อ อีกแค่ 2 คน เท่านั้น ซึ่งมาตรา 91 (4) ยังระบุต่อไปด้วยว่า ...แต่ต้องไม่มีผลให้พรรคการเมืองใดดังกล่าวมี ส.ส. เกินจำนวนที่จะพึงมี... โดยเป็นสาระสำคัญหลักที่รัฐธรรมนูญฯ ร่างมาเพื่อสะท้อนคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชน และมาตรานี้จะทำให้ กกต. มีปัญหาได้ในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ชอบ - ไม่ชอบต่อการคำนวณจำนวน ส.ส. ซึ่งหากพรรคใดไม่มีสัดส่วนคะแนนถึงจำนวนที่จะให้มี ส.ส. พึงมีได้แล้วจัดสรรเช่นนั้นก็อาจจะปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ

               นอกจากนี้ ในส่วนที่ กกต. บอกว่าดำเนินการ มาตรา 128 พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ โดย มาตรา 128 (5) ระบุหลักเกณฑ์ชัดไว้เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 91 ว่า ให้นำจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ ทั้งหมดมาจัดสรรให้พรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตต่ำกว่าจำนวน ส.ส. ที่พึงจะมี และปิดท้ายเหมือนกันว่า แต่ต้องไม่มีผลให้พรรคการเมืองใดดังกล่าวมี ส.ส. เกินจำนวนที่จะพึงมี โดยที่ กกต. อ้างว่าใช้ มาตรา 128 (6) ในการคำนวณเพื่อจัดสรร ส.ส. บัญชีรายชื่อ ให้กับพรรคเล็ก กกต. ดูกฎหมายไม่ครบ เพราะกฎหมายข้อนั้นระบุว่า ในการจัดตาม (5) ถ้าปรากฏว่ายังจัดสรรจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ไม่ครบ 150 คน ให้พรรคการเมืองที่มีเศษจากการคำนวณมากที่สุด ได้รับการจัดสรร ส.ส. บัญชีรายชื่อ เพิ่มอีก 1 คน ตามลำดับจนครบจำนวน 150 คน ความหมายคือ เฉพาะพรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส. ที่พึงมี ดังนั้น พรรคใดที่คะแนนเสียงไม่ถึง 71,168 คะแนน กกต. ไม่มีสิทธิ์นำไปตั้งต้นในการจัดสรร ส.ส. บัญชีรายชื่อ ให้โดยเอกสารการชี้แจงของ กกต. ในหน้าที่ 12 ขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ และขัดต่อ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ ซึ่งพรรคการเมืองที่มีคะแนนเสียงถึงตามเกณฑ์ 71,168 คะแนน มีเพียง 16 พรรค เท่านั้น พรรคลำดับที่ 17 - 27 ไม่มีสิทธิ์ได้รับการจัดสรรด้วย เช่น พรรคไทรักธรรม ได้คะแนนเสียง 33,754 คะแนน ซึ่งคะแนนนั้นตามเกณฑ์ 1 คน ก็ยังไม่ได้แล้ว กกต. ไปจัดสรรให้กับพรรคการเมืองลำดับที่ 17 - 27 นี้ ขัดต่อกฎหมายชัดเจนมาก

 

 

 

               "ที่ กกต. บอกว่าหลักเกณฑ์นี้คิดมาดีแล้ว เป็นหลักเกณฑ์หลักการที่บอกว่าทำให้คะแนนไม่ตกน้ำ ท่านทราบหรือไม่ จากการคิดคำนวณของ กกต. ในครั้งนี้ คะแนนไม่ได้ตกน้ำแต่ตกทะเลไปเป็นล้าน นี่คือสิ่งที่ กกต. ต้องยอมรับว่าข้ออ้างและเหตุผลรับฟังไม่ได้โดยสิ้นเชิง คะแนนที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องเสียไปจากการคำนวณครั้งนี้กว่า 200,000 คะแนน และมีพรรคการเมืองอื่นอีกที่เสียคะแนนไปหลายแสนคะแนน รวมกันแล้วเป็นหลักล้าน ผมไม่ทราบว่าการคำนวณสัดส่วนแบบนี้ประโยชน์จะเกิดขึ้นกับใคร ประโยชน์จะเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองใด แต่ที่แน่นอนประชาชนที่ลงคะแนนเสียงให้กับพรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส. ที่พึงมี เขาจะเสียคะแนนของเขาไปทันที ผิดไปจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง" นายราเมศ ระบุ

               นายราเมศ กล่าวว่า กกต. ถือได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อมีการปฏิบัติหน้าที่ ที่ไม่ชอบ บุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นก็มีกฎหมายคุ้มครองอยู่ โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้นหากใช้สูตรคำนวณปกติพรรคจะได้ตัวเลขที่ 21 - 22 คน ดังนั้น ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ ของพรรคที่อยู่ในลำดับที่ 20 - 21 ที่น่าจะได้รับผลกระทบจากการคำนวณนี้ คือผู้เสียหายโดยตรงที่จะใช้สิทธิ์เรียกร้องเรื่องนี้ได้ ดังนั้น จากผลกระทบนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะใช้กระบวนการต่างๆ ทั้งตามรัฐธรรมนูญฯ และกฎหมายเรียกร้องความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด

 

 

 

               ยืนยันว่า การออกมาท้วงติงคัดค้านครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากความเห็นแก่ตัว เห็นประโยชน์ของตนเอง แต่ออกมาท้วงติงเพื่อให้การดำเนินการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. เป็นไปตามกระบวนการครรลองหลักกฎหมาย หลักรัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง

               เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะยื่นเรื่องศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ และยื่น กกต. เรียกร้องสิทธิ์ใช่หรือไม่ และจะดำเนินการเมื่อใด นายราเมศ กล่าวว่า ก็มีหลายช่องทาง ซึ่งบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับผลกระทบต่อสิทธิ์นั้นสามารถยื่นได้ด้วยช่องทาง 1. ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการใช้กฎหมายริดลอนสิทธิเสรีภาพหรือไม่ 2. กระบวนการต่างๆ ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีหน้าที่สำคัญเช่นกันที่จะส่งผ่านกระบวนการไม่เป็นธรรมครั้งนี้ ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาเรื่องวิธีการคำนวณ เป็นประเด็นเพียงว่า พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ มาตรา 128 ไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 91 ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาดังกล่าวไม่ได้มารองรับการกระทำของ กกต. นั้นที่จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ผลจากการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของ กกต. ครั้งนี้ กกต. ต้องรับผิดชอบ ส่วนเราจะดำเนินการตามช่องทางต่างๆ เมื่อใดจะแถลงให้ทราบอีกครั้ง ซึ่งก็อาจจะต้องรอหลังการประชุมเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่

 

 

 

               เมื่อถามย้ำว่า การยื่นเรียกร้องสิทธิ์และดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. ครั้งนี้ จะทำในนามของพรรคประชาธิปัตย์ หรือในส่วนของผู้สมัคร ส.ส. ที่ได้รับผลกระทบ นายราเมศ กล่าวว่า ทำทั้ง 2 ทาง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งจะต้องปรึกษาหารือกันเพื่อหาช่องทางเรียกร้องความเป็นธรรมทั้งระบบ โดย กกต. เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หากปฏิบัติหน้าที่มิชอบด้วยกฎหมาย แน่นอนช่องทางจะมีตามมาอีกมากมาย

               นายสมชัย ได้กล่าวประเมินการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. ในการใช้สูตรคำนวณจัดสรร ส.ส. บัญชีรายชื่อ ครั้งนี้ว่า ในการตรวจการบ้าน กกต. ครั้งนี้ ซึ่งดูจากเอกสารชี้แจงของ กกต. 14 หน้า ที่แถลงข่าวนั้น ตนให้คะแนน 50% จากเอกสารชี้แจงมีความถูกต้องในหลักการเพียง 7 หน้า แต่การบ้านข้อนี้มีคนช่วยทำเยอะมาก ช่วยติว ช่วยไกด์ มีคนแนะนำ แต่ท่านยังทำผิดอีก ดังนั้น คะแนนสมควรให้ต่ำกว่า 50% ซึ่งวิธีการจัดสรรของ กกต. มีผู้ได้รับผลกระทบ โดยการคำนวณควรมี 16 พรรค เท่านั้นที่จะได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ และมีเพียง 14 พรรค ที่จะได้รับการจัดสรร ส่วนที่หายไป 2 พรรค คือ พรรคเพื่อไทย เพราะได้จำนวน ส.ส. เขตเกินกว่า ส.ส. ที่พึงจะมี กับพรรคประชาชาติ ที่ ส.ส. พึงจะมีนั้นเขาจะได้ 6.7 โดยได้ ส.ส. เขตไปแล้ว 6 คน ดังนั้น เศษที่เหลือจึงไม่ถึง 1 คน ทำให้ 2 พรรคนี้ ก็จะไม่มีโอกาสได้รับการจัดสรร ส.ส. บัญชีรายชื่อ อีก โดย 14 พรรคที่จะได้รับสิทธิ์จัดสรรนั้น คือการจัดสรรจากจำนวนเต็มให้ก่อนแล้วก็จะเริ่มดูจากเศษส่วนที่เรียงจากเศษส่วนมากที่สุด ไปหาเศษส่วนน้อยที่สุด ซึ่งมี 7 พรรค ที่ได้รับกระทบสิทธิ์จากการมีส่วนได้ - เสียจากการคำนวณของ กกต. ที่อาจจะแย้งกับรัฐธรรมนูญฯ ทั้งพรรคพลังประชารัฐ , พรรคอนาคตใหม่ , พรรคประชาธิปัตย์ , พรรคภูมิใจไทย , พรรคเสรีรวมไทย , พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรครวมพลังประชาชาติไทย

 

 

 

ปชป. ฮึ่ม จัดชุดใหญ่เอาผิด กกต.

 

 

 

ปชป. ฮึ่ม จัดชุดใหญ่เอาผิด กกต.

 

 

 

ปชป. ฮึ่ม จัดชุดใหญ่เอาผิด กกต.

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ