ข่าว

แก้วสรรเบิกความมัด"ทักษิณ"ออกกม.เอื้อบ.มือถือ

แก้วสรรเบิกความมัด"ทักษิณ"ออกกม.เอื้อบ.มือถือ

13 พ.ย. 2552

“แก้วสรร” ขึ้นเบิกความศาลมัดยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ของ "ทักษิณและครอบครัว" ระบุโอนขายหุ้นชินคอร์ป แค่นิติกรรมเปลี่ยนมือถือหุ้น ส่วนเงินซื้อขายสุดท้ายหมุนเวียนบัญชี "พจมาน" ซัด "ทักษิณ" ขณะเป็นนายกฯ ออกมาตรการแปลงภาษีสรรพาสามิต-แก้สัญญาโรมมิ่งมือถือ-ดาวเ

องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานฝ่ายผู้ร้อง ในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้อง ขอให้มีคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและครอบครัว ที่ได้จากการขายหุ้นในเครือบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท โดยพยานฝ่ายผู้ร้องที่มาเบิกความ คือ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เข้าไต่สวนเพียงปากเดียว

 นายแก้วสรร เบิกความตอนหนึ่งระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา โอนขายหุ้นบริษัทชินฯ ให้กับนายพานทองแท้ ซึ่งจำนวนหุ้นที่โอนขายให้เป็นจำนวน 24.99% ขณะที่ส่วนที่เหลือได้โอนขายให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว และโอนขายให้ บริษัท แอมเพิลริช อินเวสเมนต์ จำกัด จำนวน 10.44% ขณะที่การซื้อขาย กลับมีการชำระหนี้ด้วยเช็คสั่งจ่ายที่มาจากบัญชีคุณหญิงพจมาน ซึ่งการตรวจสอบพบว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนมือ โดยสุดท้ายเงินนั้นก็กลับเข้าบัญชีคุณหญิงพจมานอีก

 นายแก้วสรร เบิกความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าของหุ้น บริษัทแอมเพิลริชฯ ได้อย่างไรนั้น ตามที่มีการอ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณ โอนหุ้นให้นายพานทองแท้ บุตรชาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาว และนายบรรณพจน์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน ตั้งแต่ปี 2543 และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นจากนายพานทองแท้ พี่ชายเมื่อปี 2546 หลังจากบรรลุนิติภาวะนั้น โดยอ้างว่ามีการทำตั๋วสัญญาสั่งจ่ายหนี้ซื้อหุ้นนั้น จากการตรวจสอบพบว่า ปี 2543 พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน มีหุ้นในหลายบริษัท ซึ่งหากรับตำแหน่งนายกฯ ปี 2544 ก็จะเกิดปัญหาตามกฎหมายที่ไม่ให้มีหุ้นเกิน 5% โดยพบว่า แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน โอนขายหุ้นให้คนในครอบครัวแล้ว แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีหุ้นใน บริษัทแอมเพิลริชฯ และวินมาร์ค ลิมิตเต็ด จำกัด อยู่ในมืออีก ซึ่งการชี้แจงทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งว่าขายหุ้นแล้วและมีการทำตั๋วสัญญาใช้เงินสั่งจ่ายหนี้กัน

 นายแก้วสรร ย้ำว่า ตรวจสอบพบว่า หุ้น บริษัทแอมเพิลริช เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาตลอด และบริษัทวินมาร์คฯ ยังถือหุ้น บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อีก ดังนั้นการที่ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นคืนบริษัทเหล่านี้ จึงทำให้เงินปันผลการถือครองหุ้นชินคอร์ปฯ ส่งคืนกลับให้คุณหญิงพจมาน มารดาโดยผ่านทางการซื้อขายหุ้นนั้น

 นายแก้วสรร เบิกความว่า จากตรวจสอบหลักฐานบัญชีธนาคารยูบีเอส มีการยืนยันว่าหุ้น บริษัทแอมเพิลริชฯ กับ หุ้นบริษัทวินมาร์คฯ หุ้นทั้งสองอยู่ในชื่อบุคคลคนเดียวกันและถือครองเกิน 5% และจากการตรวจสอบยังพบว่า หุ้นดังกล่าวมีการนำไปเพิ่มทุนและลงทุนในเครือบริษัทครอบครัวชินวัตร และสุดท้ายหุ้นก็กลับไปยังบัญชีของคุณหญิงพจมาน จากหลักฐานทั้งหมดทำให้ คตส. เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ถือหุ้นทั้ง 2 บริษัท ทาง คตส. จึงเห็นว่าเป็นเหตุให้ควรอายัดหุ้นดังกล่าวไว้ตรวจสอบ

 ทั้งนี้ศาลได้ถามถึงการตรวจสอบกรณีออกกฎหมายแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิต นายแก้วสรรเบิกความว่า ในสมัยคณะรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกกฎหมายดังกล่าวมาทำให้มีการแปลงสัญญาสัมปทานกิจการโทรคมนาคม จ่ายเป็นภาษีสรรพสามิต 15% แม้ว่าภาษีสรรพสามิตจะเข้าสู่รัฐ แต่ทำให้องค์การโทรศัพท์ หน่ายงานของรัฐซึ่งเป็นคู่สัญญาสัมปทาน ต้องสูญเสียรายได้จากค่าสัมปทานที่ลดลง โดยการประกอบกิจการสัมปทานในส่วนขององค์การโทรศัพท์ เกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ (มือถือ) มีบริษัทเอไอเอสร่วมทุน จึงทำให้เป็นการออกมาตรการที่เอื้อประโยชน์ให้บริษัทเครือชินคอร์ปฯ ได้เปรียบบริษัทอื่น

 เนื่องจากช่วงที่มีการเปิดเสรี โดยมี กทช.เป็นผู้ดูแล กำหนดให้มีการจัดเฉพาะเก็บค่าธรรมเนียมเท่านั้น ซึ่งจะต่ำกว่าค่าสัมปทานที่บริษัท เอไอเอส จะต้องจ่าย ดังนั้นจึงได้มีการออกมาตรการมาเพื่อจะให้บริษัทที่จะเข้ามาให้บริการรายใหม่ ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตเพิ่ม ส่วนบริษัทเอไอเอส เพียงแต่หักค่าสัมปทานบางส่วน ไปจ่ายเป็นค่าภาษีสรรพสามิต ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย

 นอกจากนี้ในการตรวจสอบก็ยังพบการลดค่าสัญญาสัมปทานโรมมิ่ง ซึ่งองค์การโทรศัพท์ให้บริษัทเอไอเอส จัดการเชื่อมสัญญาณเครือข่าย เพื่อให้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ครอบคลุม ซึ่งการจัดสร้างโครงข่ายโรงมิ่ง เอไอเอส จะต้องเป็นผู้รับภาระ โดยทรัพย์สินดังกล่าวจะต้องตกเป็นขององค์การโทรศัพท์ตามสัญญาสัมปทาน แต่กรณีดังกล่าวกลับพบว่า เอไอเอส ได้เช่าโครงข่ายโรมมิ่งจากดิจิทัลโฟนที่บริษัทถือหุ้นอยู่ด้วย ขณะที่มีการแก้สัญญาสร้างภาระให้องค์การโทรศัพท์จะต้องชำระค่าเช่าสัญญาณนั้น

 กรณีดังกล่าวได้เคยส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความก็ระบุว่าการแก้สัญญาดังกล่าวไม่สามารถทำได้ รวมทั้งในเรื่องของการยิงดาวเทียม ซึ่งบริษัทชินแซทฯ ได้ทำสัญญากับกระทรวงคมนาคม จะต้องยิงดาวเทียมไทยคมเพื่อใช้สื่อสารภายในประเทศ รวม 4 ดวง แต่ปรากฏว่าบริษัทยิงดาวเทียมไทยคมเพียง 3 ดวง ส่วนดวงที่ 4 กลับมีการแจ้งเปลี่ยนเทคโนโลยี ใช้ชื่อ IP STAR ยิงแทนดาวเทียมไทยคม 4 ทั้งที่ดาวเทียมดังกล่าวไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ เพราะดาวเทียมนั้นใช้สำหรับสื่อสารในต่างประเทศ ซึ่งหากบริษัทดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาก็ควรจะต้องแจ้งเพื่อให้มีการแก้ไขสัญญาโดยถูกต้อง

 เรื่องดังกล่าวอดีตรองอธิบดีกรมการไปรษณีย์แจ้งว่า ได้เคยคัดค้านแล้ว ขณะที่ปัญหาดาวเทียมดังกล่าวนำมาซึ่งคดีการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับรัฐบาลพม่า โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า หรือเอ็กซิมแบงก์ ซึ่งเดิมมีการกำหนดวงเงิน 3,000 ล้านบาท แต่มีการเพิ่มวงเงินอีก 1,000 ล้าน เพื่อให้รัฐบาลพม่านำเงินมาใช้ซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทชินแซทฯ โดยมาตรการต่างๆ นั้นเกิดขึ้น ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกฯ

 นายแก้วสรร ยังเบิกความต่ออัยการด้วยว่า สำหรับการออกมาตรการแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต และการปล่อยกู้ของธนาคารเอ็กซิมแบงก์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ แล้ว แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้หลบหนีคดี ทั้งนี้ภายหลังไต่สวนนายแก้วสรรแล้ว แต่ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังซักค้านไม่แล้วเสร็จ ศาลจึงนัดไต่สวนนายแก้วสรรอีกครั้ง ในวันที่ 17 พ.ย.

ดีเอสไอยัน "ทักษิณ-พจมาน" เจ้าของบลูไดมอน

 แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวว่าดีเอสไอและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตรวจสอบพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ  เป็นเจ้าของบริษัท วินมาร์ค บนเกาะบริติช เวอร์จิ้น ในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด ว่า จากการตรวจสอบของ ก.ล.ต.และดีเอสไอพบว่า วินมาร์คมีกองทุนบลูไดมอน ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นเจ้าของ และมีครอบครัวชินวัตร เป็นผู้รับผลประโยชน์จากกองทุนดังกล่าว 100%

 ผลการตรวจสอบพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้กองทุนบลูไดมอนลงทุนในบริษัทเอสซี แอสเสทผ่านบริษัทวินมาร์ค ตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค.2543 โดยวินมาร์คได้เข้าไปซื้อหุ้น บริษัท โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 55,079,999 หุ้น จาก พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน

 วินมาร์คได้โอนเงินชำระค่าหุ้นให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาราชวัตร ชื่อบัญชี พ.ต.ท.ทักษิณ และโอนเงินชำระค่าหุ้นให้คุณหญิงพจมานเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักงานรัชโยธิน ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน

   จากการตรวจสอบของ ก.ล.ต.พบว่าเงินที่วินมาร์คนำมาชำระค่าหุ้นให้กับคุณหญิงพจมานจำนวน 307 ล้านบาท เป็นเงินที่โอนมาจากบัญชีของคุณหญิงพจมาน ในธนาคารต่างประเทศ