แบนหัวเว่ยไม่ช่วยสกัดภัยสอดแนมเมื่อสหรัฐและหลายประเทศก็ทำ

 

จอร์จ เยียว ซึ่งเคยนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ช่วงปี 2547 – 2554 และรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม 5 ปีก่อนหน้านั้น ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ เซาท์ไชนา มอร์นิงโพสต์ สื่อฮ่องกง ว่าความเห็นที่ว่าอุปกรณ์ของยักษ์ใหญ่สื่อสารโทรคนาคมของจีนอย่างหัวเว่ย จะเปิดทางให้รัฐบาลจีนสอดแนมลูกค้าได้นั้น เป็นมุมมองด้านเดียว 

( จอร์จ เยียว ภาพ Straitstimes ) 

 

“ความวิตกว่า 5จี จะเปิดช่องให้หน่วยข่าวต่างชาติ เป็นความวิตกที่รับฟังได้ และทุกประเทศจะต้องระแวดระวัง แต่ใช่แต่จีนเท่านั้นที่จะรุกล้ำระบบของคุณได้ สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆต่างก็พยายามเข้าระบบของคุณเหมือนกัน หากเป็นประเทศเล็ก ก็คงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำ เพราะไม่มีศักยภาพ” เยียว ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานและผู้อำนวยการบริหาร เคอร์รี โลจิสติกส์ เน็ตเวิร์คส์ กล่าว 

 

อดีตรัฐมนตรีการค้าและการต่างประเทศของสิงคโปร์ กล่าวว่า สมัยทำงานในรัฐบาล ก็เคยขอให้แบล็คเบอร์รี สร้างศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์ เพื่อไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลไปแคนาดาเหมือนกัน เพราะในด้านงานข่าว ต้องไม่ไว้ใจใครและระวังตัวเอ และว่าสหรัฐกังวลถูกสอดแนมจากหัวเว่ย ส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะหากมีหลายประเทศใช้อุปกรณ์ของบริษัทนี้แล้ว อาจเป็นอุปสรรคการสอดแนมของหน่วยข่าวกรองอเมริกัน 

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ นายกั๊วะ ผิง ประธานหัวเว่ย ยืนยันว่าระบบของตนไม่มีประตูหลังบ้านเปิดทางให้กับการสอดแนม ทั้งยังพาดพิงโครงการ พริซึม ของสหรัฐ ที่ใช้โปรแกรมสอดแนมพลเมืองตัวเองและผู้คนทั่วโลก ก่อนที่ถูกเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตลูกจ้างสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ เปิดโปง 

สหรัฐพยายามกดดันพันธมิตรให้ร่วมแบนการใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยี 5จี ของหัวเว่ย ทั้งขู่ว่าจะทบทวนการแชร์ข่าวกรองกับประเทศเหล่านั้น ซึ่งแคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ดำเนินรอยตามแล้ว ขณะสหภาพยุโรประบุว่าจะไม่บล็อกแต่จะเพิ่มความระแวดระวัง 

เยียว กล่าวว่า ทางออกโดยเฉพาะประเทศเล็กๆ คือการหาจุดอ่อนและเสริมการป้องกัน มากกว่าแบนผู้ให้บริการเฉพาะเจาะจง  ทุกประเทศควรทำเช่นนั้นไม่ใช่แค่เคารพหัวเว่ยแต่ทุกระบบสื่อสารที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในประเทศ 

“ไม่ใช่แค่หัวเว่ยที่เป็นภัยคุกคามข่าวกรอง แต่ทุกประเทศใหญ่ส่อเป็นภัยคุกคามข่าวกรองต่อประเทศเล็ก”