ข่าว

เรียกทูตกลับ-ใครได้ใครเสีย

เรียกทูตกลับ-ใครได้ใครเสีย

08 พ.ย. 2552

มาตรการตอบโต้กันระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา กรณีเรียกเอกอัครราชทูตกลับประเทศเนื่องจากไม่พอใจการกระทำของแต่ละฝ่าย

เริ่มจาก "รัฐบาลไทย" เรียกเอกอัครราชทูตกลับหลังจากสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่งตั้ง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ทำให้ "รัฐบาลกัมพูชา" ตอบโต้กลับโดยเรียกเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับประเทศด้วยเช่นกัน

 หลังเกิดเหตุ กลุ่มที่อ้างว่า "รักชาติ" พากันรู้สึกพอใจกับมาตรการตอบโต้ของรัฐบาลหลังจากเป็นมวยรองมาตลอด ทั้งที่ "ฮุน เซน" ให้สัมภาษณ์ท้าทายอำนาจรัฐบาลไทย จะไม่ส่งตัว "ทักษิณ" ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนให้แก่ประเทศไทย "ตบหน้า" ผู้นำรัฐบาลไทย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อย่างไร้ไมตรี

 "ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่า มาตรการที่รัฐบาลไทยใช้มีความเหมาะสม เพราะการที่รัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ ถือเป็นการตบหน้าประเทศไทย และการที่รัฐบาลกัมพูชาเรียกเอกอัครราชทูตกลับแสดงให้เห็นว่ากำลังใช้วิธีแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน

 สมเด็จฮุน เซน กับพ.ต.ท.ทักษิณ มีลักษณะเหมือนกันในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเคลื่อนไหวเพื่อเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนให้แก่ตัวเอง ทั้งสองคนคบกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว น่าสังเกตว่าหากรัฐบาลกัมพูชาสามารถตอบโต้รัฐบาลไทยได้ คะแนนนิยมของรัฐบาลก็จะเพิ่มมากขึ้น หากรัฐบาลกัมพูชายังมีท่าทีเช่นนี้จะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างแน่นอน ส่วนจะลุกลามถึงขั้นสู้รบหรือไม่อยู่ที่รัฐบาลกัมพูชา

 "รศ.ประภัสสร์ เทพชาตรี" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่า ฮุน เซน ใช้ทักษิณเป็นไพ่ต่อรองผลประโยชน์ระหว่างประเทศกับไทย เช่น ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ หรือความมั่นคง เพราะเรื่องดังกล่าวกระทบต่อการเมืองภายในประเทศไทยโดยตรง

 กรณีรัฐบาลไทยเรียกเอกอัครราชทูตกลับมา ในทางการทูตถือเป็นมาตรการที่ค่อนข้างรุนแรง เรื่องความสัมพันธ์ควรพิจารณาให้รอบคอบ เพราะวิธีลงโทษอาจเป็นดาบสองคม เช่น รัฐบาลสหรัฐอเมริกาใช้มาตรการคว่ำบาตรรัฐบาลทหารของพม่า ปัจจุบันก็แสดงให้เห็นว่าใช้ไม่ได้ผล ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือ ถอยคนละก้าว โดยรัฐบาลกัมพูชาต้องการยกเลิกกระทำที่ไม่เหมาะสมคือ การแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งๆ ที่ถูกดำเนินคดีในประเทศ และรัฐบาลไทยอาจต้องยอมประนีประนอมผลประโยชน์ระหว่างประเทศด้านอื่นๆ ให้แก่กัมพูชา

 "ชลิดา ทาเจริญศักดิ์" เจ้าหน้าที่ประสานงาน ฟอรั่ม เอเชีย กล่าวว่า มองเห็นท่าทีของ ฮุน เซน ที่มีต่อรัฐบาลไทยตั้งแต่ก่อนการประชุมอาเซียนแล้วว่าจะต้องเดินมาถึงจุดนี้ และเห็นว่าการดำเนินการทางการทูตของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ คงไม่สามารถแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาได้ และเห็นว่า นายเตช บุนนาค อดีต รมว.ต่างประเทศ น่าจะมารับหน้าที่กระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศได้ เนื่องจากมีความอ่อนพลิ้ว และไม่มีความเป็นชาตินิยมจัด

 อย่างไรก็ตาม ที่น่าเป็นห่วงคือการแสดงออกของภาคประชาชน โดยเฉพาะนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านการคอรัปชั่น (คปต.) ที่นำภาคประชาชนไปชุมนุมที่บริเวณมีข้อพิพาท หน้าสถานทูตกัมพูชาในประเทศไทย อย่าไปกระแทกปัญหา เพราะอาจเร่งปัญหาให้เกิดเร็วขึ้น

 "วรณัย พงศาชลากร" อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า การกระทำของรัฐบาลไทยถูกต้อง แต่ส่วนตัวเห็นว่าควรเริ่มจากการเรียกทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมาพบ และยื่นหนังสือประท้วงต่อการกระทำของฮุน เซน และรอดูท่าทีจากรัฐบาลฮุน เซน หากยังไม่มีความเคลื่อนไหว จึงค่อยขยับมาตรการที่รุนแรงขึ้น เช่น เรียกเอกอัครราชทูตประจำกัมพูชากลับประเทศ ซึ่งการทำลักษณะนี้ถือเป็นมาตรการจากเบาสุดไปแรงสุด จะสร้างความชอบธรรมให้แก่ประเทศไทยจากสายตาของประชาคมโลกและจะยืนอยู่ข้างประเทศไทย

 แต่เมื่อรัฐบาลเลือกที่จะใช้มาตรการข้ามขั้นตอนมาอยู่ในระดับสองโดยเรียกทูตกลับ จากนั้นไป "วรณัย" มองว่า เมื่อรัฐบาลกัมพูชาตอบโต้โดยเรียกทูตกัมพูชากลับทำให้สถานการณ์ของประเทศไทยตกเป็นรองทันที ถือว่าขณะนี้ไทยเสียเปรียบเพราะประเทศไทยไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ และเชื่อว่านายกฯ อภิสิทธิ์จะเริ่มใจเย็นลง แต่กลัวว่าจะมีคนเสี้ยมให้ข้อมูลเพื่อตัวเองแก่ นายกฯ อภิสิทธิ์ จนเกิดปัญหาบานปลาย ดังนั้นนายกฯ อภิสิทธิ์ไม่ควรหุนหันพลันแล่นทำอะไรให้คิดถึงประชาชนคนไทยในอนาคต อย่าให้ประวัติศาสตร์จารึกชื่อนายกฯ อภิสิทธิ์ เป็นผู้ก่อความตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ตั้งใจ

นิกร เลิศพิสิฐฐากูร / อนงค์ลักษณ์ สมแพง / สมถวิล เทพสวัสดิ์