ข่าว

พญาละแวกกลับชาติมาเกิด

พญาละแวกกลับชาติมาเกิด

08 พ.ย. 2552

ไม่น่าเชื่อว่า กว่า 6 ปีที่แล้วเหตุการณ์ "เผาสถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ" ที่คนไทยไม่มีวันลืมว่า เพราะเพียงเพื่อมุ่งหวังเกมการเมือง ก็ปลุกกระแสคลั่งชาติก่อความรุนแรงให้เกิดขึ้นในดินแดนนั้นได้

 แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหวนไปนึกถึงพงศาวดารไทยเรื่อง พญาละแวก ผู้ครองเมืองละแวกในเขมร ที่เมื่อใด สยามเข้มแข็งก็จะส่งเครื่องราชบรรณาการ แต่ยามใดที่สยามอ่อนแอ ก็ส่งทัพเข้ามาตีกวาดต้อนผู้คน-ทรัพย์สินไป

 แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมว่า นายกรัฐมนตรีของไทยในวันนั้นชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่กอบกู้ศักดิ์ศรีของประเทศไทยให้กลับมาด้วยการประกาศกร้าวใส่ผู้นำกัมพูชา ..สมเด็จฮุน เซน !!

 คนเดียวกันกับผู้นำคนปัจจุบันของกัมพูชาในวันนี้ วันที่สายสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาใกล้ถึงจุดที่เมื่อกว่า 6 ปีก่อนเคยเป็น

 "ต่อสายถึงฮุน เซนสิ" เสียงออกคำสั่งที่ทั้งกร้าวทั้งโกรธ ดังพอที่ใครต่อใครรอบข้างต่างก็ได้ยิน

 และเมื่อปลายทางรับสาย ผู้นำไทยในขณะนั้นก็ระเบิดเสียงด้วยความคับข้องใจถามไปยังปลายสายในทันที

 แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็พอจับใจความได้คร่าวๆ ว่า "ฮุน เซน ! เกิดอะไรขึ้นที่นั่น ไอต้องการคำตอบจากยู ภายใน 1 ชั่วโมงนี้"

 หลังจากวางสาย ผู้นำไทยในวันนั้นก็เดินทางไปปฏิบัติภารกิจ ซึ่งเป็นการไปออกรายการสัมภาษณ์โทรทัศน์สด

 จบรายการสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปทำเนียบรัฐบาลในทันที พร้อมกับเรียกผู้บัญชาการเหล่าทัพ รวมทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผบ.ทหารสูงสุด ในขณะนั้น มาประชุมกันที่ทำเนียบรัฐบาล

 ก่อนร่วมประชุมการติดต่อถึง กรุงพนมเปญมีขึ้นอีกครั้ง ใจความคร่าวๆ มีว่า

 "ฮุน เซน ถึงเราจะเป็นเพื่อนกัน แต่เรื่องนี้ชาติต้องมาก่อน ถ้าคนไทยไม่ได้กลับบ้าน เราจำเป็นต้องรบกัน !"

 แทบจะไม่รอฟังคำตอบจากปลายสาย พ.ต.ท.ทักษิณ วางหู แล้วเข้าห้องประชุมร่วมกับ ผบ.เหล่าทัพ

 อาการที่แสดงออกในระหว่างการประชุมเป็นอย่างไร "ผู้ร่วมประชุม" ไม่ได้บรรยายให้เห็นภาพ เพียงแต่ยืนยันว่า ผบ.เหล่าทัพ นั่งฟังอย่างเงียบกริบ

 กระทั่งเริ่มเข้าสู่การกำหนดยุทธการ และการบัญชาการ การวางกำลังรบ นั่นแหละ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่เบื้องนอกใครต่อใครก็มองว่า เคร่งขรึม ไม่พูดไม่จา ก็ยกมือขอพูดก่อนที่จะปล่อยคนมียศ "พ.ต.ท." จะร่ายยุทธวิธีจนหมดแม็ก

 "ท่านนายกรัฐมนตรีครับ คำสั่งในการดำเนินการรบ การเคลื่อนย้ายกำลัง เป็นคำสั่งของนายกรัฐมนตรี แต่ยุทธวิธีการรบเป็นหน้าที่ของพวกกระผม ไม่ใช่หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี"

 เสียงของ พล.อ.สุรยุทธ์ นิ่งเรียบแต่ชัดถ้อยชัดคำ

 "พวกผมของเวลาท่าน 45 นาที เพื่อปรึกษาหารือ เมื่อเสร็จแล้วผมจะกลับมารายงานท่าน"

 หลังจากครบกำหนดเวลาที่ขอ พล.อ.สุรยุทธ์ พร้อมทั้ง ผบ.เหล่าทัพ ก็กลับมาร่วมประชุมกับพ.ต.ท.ทักษิณ อีกครั้ง แล้วเริ่มอธิบายแผนการเข้าไปรับคนไทยในกัมพูชา ..กองทัพอากาศจะส่งเครื่องกี่ลำเข้าไป เครื่องบินขับไล่อยู่ที่ไหน กองทัพบกจะส่งหน่วยไหนเข้าไป กองทัพเรือจะทำหน้าที่อะไร

 "ก่อนฟ้าสางเราจะไปรับพี่น้องคนไทยกลับบ้าน" พล.อ.สุรยุทธ์ สรุป พร้อมกับเอ่ยปากขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อขออนุมัติการเคลื่อนย้ายกำลังรบ

 "ได้ๆ ๆ เอาเบอร์หัวนอนผมไปเลย"

 หลังจากตระเตรียมแผนการเสร็จสรรพ การแถลงข่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีขึ้นกลางดึก

 "เป็นหน้าที่ของรัฐบาลกัมพูชาที่จะเสนอแนวทางแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดที่เกิดขึ้น และจะต้องมีเหตุผลอธิบาย จนเป็นที่พอใจของคนไทย ไม่เช่นนั้นความสัมพันธ์คงจะกลับคืนดีเหมือนเดิมไม่ได้”

 ตอนท้ายของถ้อยแถลง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ทิ้งประโยคทองว่า "ก่อนฟ้าสางเราจะไปรับพี่น้องคนไทยกลับบ้าน"

 แม้สถานการณ์จะตึงเครียด แต่ค่ำคืนนั้น ความนิยม พ.ต.ท.ทักษิณ พุ่งทะลุเพดาน ยิ่งได้เห็นภาพพี่น้องคนไทยลงจากเครื่องบิน ซี 130 ของกองทัพอากาศที่สนามบินดอนเมือง ก็ยิ่งแสดงให้เห็นศักยภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ

 แต่วันนั้น ไม่ใช่วันนี้ วันที่สัมพันธภาพไทย-กัมพูชา อยู่ในจุดที่เปราะบางเสี่ยงที่จะขาดสะบั้น และเสี่ยงที่จะเกิดสงคราม

 ที่ทำให้เกิดเหตุเช่นนี้ มี พ.ต.ท.ทักษิณ และบริวาร เป็นตัวเร่งให้เกิด

 ไม่มีใครเชื่อว่า ฮุน เซน ตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง

 แล้วก็ยิ่งคับข้องใจมากขึ้น เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ทวิตเตอร์หลังได้รับการแต่งตั้งว่า

 “ผมขออนุญาตพี่น้องคนไทยไปให้คำปรึกษาด้านเศรษฐกิจกับรัฐบาลกัมพูชาตามที่โปรดเกล้าฯ จาก king สีหมุนีไปพลาง ก่อนที่จะมีโอกาสได้มารับใช้พี่น้องใหม่”

 นั่นหมายความว่าอย่างไร

 หมายความว่า ทักษิณ ในวันนี้ไม่ใช่ ทักษิณ ในวันที่สถานทูตไทยถูกเผาแล้วใช่หรือไม่

 ในวันนี้ "ชาติ" จะยังมาก่อนเหมือนวันนั้นหรือไม่

 ในขณะที่คะแนนนิยมของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พุ่งสูงปรี๊ด แต่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับเต็มไปด้วยคำถาม และความคลางแคลงใจ

 หลายคนถึงกับหลุดปากว่า พญาละแวก น่าจะกลับชาติมาเกิดแล้วจริงๆ !

ศรายุทธ สายคำมี