
"ฝนหลวง"ขึ้นบินอีกต่อสู้ฝุ่นจิ๋ว
"ฝนหลวง"ขึ้นบินอีกต่อสู้ฝุ่น ชี้ความชื้นดีคาดช่วงบ่ายขึ้นบินซ้ำก่อกวนเมฆ ให้ฝนมาตกในพื้นที่เป้าหมายกรุงเทพและปริมณฑล
3 กุมภาพันธ์ 2562 นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่าเมื่อเวลา10.00น.หน่วยฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว 2 หน่วยได้ขึ้นบินปฏิบัติการแล้ว โดยใช้หน่วยฝนหลวงจ.ระยอง
รวมทั้ง จ.นครสวรรค์ เพื่อต่อสู้ปัญหาฝุ่นละอองในอากาศพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ทั้งนี้ได้ปฏิบัติการติดตามอย่างใกล้ชิดมาเป็นวันมกราคมที่ 19 โดยวันนี้ช่วงเช้าได้ตรวจสภาพอากาศมาวิเคราะห์ข้อมูลวางแผนตัดสินใจ ในส่วนสถานีเรดาร์สัตหีบ พบความชื้น 67 % และ 89% ขณะที่ค่ายกตัวของมวลอากาศช่วยเมฆพัฒนาตัวของเมฆยังเป็นบวก ซี่งหวังว่าระหว่างวันมีแสงแดดมาจะช่วยให้เมฆพัฒนาตัวดีขึ้น ทั้งนี้ได้ขึ้นบินจากสนามอู่ตะเภา วางแกนเมฆ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ได้บินมาก่อเมฆใกล้กรุงเทพให้มากที่สุดเพราะกระแสลมค่อนข้างอ่อน หากวางแนวเมฆไกล ถ้าเมฆพัฒนาตัวเร็วจะไม่เข้ามาตกในพื้นที่เป้าหมาย
สำหรับสถานีเรดาร์ตาคลี พบความชื้นระดับ 60%ขึ้นไป เอื้อต่อการก่อเมฆได้ แต่ค่ายกตัวให้เมฆเป็นแนวตั้งเป็นบวก2.8 ดังนั้นการพัฒนาตัวเป็นฝนค่อนข้างยาก จึงหวังแสงแดดระหว่างวันมาช่วยสร้างพลังงานให้เมฆ ได้ขึ้นบินโปรยสารก่อเมฆแนวอ.ไพศาลี ไปทาง อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ เพื่อดูแลแก้ปัญหาฝุ่นละอองพื้นที่ภาคกลาง
ในส่วนสถานีเรดาร์ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี 64% -82% ขณะเดียวกันค่ายกตัวของเมฆเป็นบวกมากถึง3.9 ดังนั้นเราหวังช่วงระหว่างวันโอกาสจะเอื้อมากขึ้นเมื่อมีแสงแดดมาช่วยค่ายกตัวของเมฆอาจลดลง คาดว่าช่วงบ่ายจึงขึ้นบินปฏิบัติการ วางแนวก่อเมฆ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ไปถึง อ.บางเลน จ.นครปฐม
อธิบดีกรมฝนหลวง กล่าวว่าขอชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน ในการทำฝนหลวงได้ทำตามตำราฝนหลวงพระราชทาน ทุกขั้นตอนมีการประเมินผลระหว่างวัน โดยกำหนดเป็นหลักๆขั้นตอนแรกคือการก่อกวน จะใช้สารเกลือแกง ที่เรารับประทานในบ้าน บดเป็นแป้ง โปรยในอากาศที่ระดับ 6-7พันฟุต ซึ่งปกติอนุภาคเกลือแกง เป็นสารแขวนลอยในอากาศอยู่แล้ว เมื่อมีความชื้นมากกว่า 60 % จะไปจับร่วมกันเป็นกลุ่มน้ำมากขึ้นคือก้อนเมฆ และขั้นตอนสอง ใช้สารแคลเซียมคอร์ไรต์ เสริมการพัฒนาตัวเมฆให้เป็นแนวตั้ง ร่วมกับพลังจากแสงอาทิตย์ ช่วยสร้างพลังงาน พัฒนาตัวเป็นเมฆฝนให้ได้ และขั้นตอนที่สาม การโจมตี ใช้สารไปทำให้สภาพแวดล้อมเกิดความเย็นจัด สารยูเรีย หรือน้ำแข็งแห้ง โปรยใต้ฐานเมฆ ทำให้เกิดความเย็นมาก เร่งให้เกิดการควบแน่น เป็นหยดน้ำกลายเป็นฝนตกลงมาได้ในพื้นที่เป้าหมาย
ส่วนเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ได้ทำให้มีฝนตกเล็กน้อย ที่เขตจตุจักร พญาไท ลาดพร้าว จากที่ได้ขึ้นบินปฏิบัติการก่อกวน ก่อเมฆ ใช้เกลือแกงโปรยแนวอ. บางบ่อ สมุทรปราการ อ.บางน้ำปเรี้ยว เมื่อเวลา11.00 น.มีความเร็วลม15 กม ต่อชม. เมื่อเมฆเกิดขึ้นจะเคลื่อนตามทิศทางของลม ระหว่างทางเมฆไปร่วมกับเมฆอื่นๆดูดซับอนุภาคแขวนลอยในธรรมชาติ จากการติดตามภาพเรดาร์พบกลุ่มเมฆฝน เวลาประมาณ 16-17.00 น. จากบริเวณเราทำฝนหลวง ใช้เวลาเดินทาง5-6 ชม จะเห็นว่าเป็นระยะทางทำฝนมาตกในเขตจตุจักร พญาไท ลาดพร้าว
“การทำงานเรายึดถือตามตำราฝนหลวงพระราชทาน หลักประเมินฝนใช้ทางวิทยาศาสตร์ จากภาพเรดาร์จับกลุ่มฝน ระยะทาง ความเร็วลม มาถึงพื้นที่เป้าหมาย”นายสุรสีห์ กล่าว