"ประมงพื้นบ้าน"ได้อะไร...? จากการปลดล็อก"ไอยูยู ฟิชชิ่ง"
นับเป็นข่าวดีสำหรับประเทศไทยและเป็นอีกผลงานเด่นของรัฐบาลภายใต้การนำของ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายที่เป็นปัญหาหมักหมมเรื้อรังมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งถูกสหภาพยุโรป (อียู) ประกาศให้ "ใบเหลือง” จากปัญหาประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม หรือไอยูยู ฟิชชิ่ง IUU (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) มาตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2558
บรรจง นะแส ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย
เหตุที่อียูแจก “ใบเหลือง” ให้ไทยนั้น สืบเนื่องมาจากเมื่อปี 2554 อียูได้ส่งตัวแทนเข้ามาตรวจสอบการควบคุมประมงผิดกฎหมายในประเทศไทย เพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ผ่านไป 3 ปีไทยยังไม่มีการปรับปรุงให้เป็นไปภายใต้กฎระเบียบของไอยูยูจนที่สุดต้องออกประกาศให้ใบเหลืองดังกล่าว
แม้ใบเหลืองจะเป็นเพียงประกาศเตือน ยังไม่ส่งผลต่อการระงับการนำเข้าสินค้าประมงที่จับโดยเรือไทยที่ส่งไปขายในตลาดสหภาพยุโรป 24 ประเทศ และยังให้โอกาสในการปรับปรุงแก้ไข แต่หากไม่เร่งแก้ไขและปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายอาจถูกปรับเป็น “ใบแดง” ซึ่งนั่นหมายความว่าสินค้าประมงที่ถูกส่งไปยังตลาดสหภาพยุโรปมูลว่ากว่า 3 แสนล้านบาทต่อปีจะถูกระงับในทันทีและอาจเกิดวิกฤติต่อผู้ประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมประมงทั้งระบบ
“งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพราะการแก้ปัญหาของไอยูยู เป็นการมุ่งเป้าไปที่ประมงพาณิชย์ ซึ่งถ้าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งคงยาก เพราะเจ้าของเรือประมงพาณิชย์ เจ้าของแพปลา เจ้าของโรงงานน้ำแข็งต่างๆ เหล่านี้เป็นหัวคะแนนนักการเมืองทั้งสิ้นใครจะกล้าทุบหม้อข้าวของตัวเอง” แหล่งข่าวในวงการประมงระบุ
จากข้อมูลกรมประมงระบุปัจจุบันเรือประมงที่ถูกต้องมีจำนวน 38,495 ลำ แยกเป็นเรือประมงพาณิชย์ 10,565 ลำ และเรือประมงพื้นบ้าน 27,930 ลำ จาก 22 จังหวัด ซึ่งก่อนหน้านี้ไทยมีเรือประมงพื้นบ้านมากกว่า 50,000 ลำ โดยจะมีการบริหารจัดการให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 เพื่อให้ทุกลำเป็นระบบสากลและเป็นการยืนยันข้อมูลชาวประมงพื้นบ้านเป็นครั้งแรกของประเทศไทย
แม้การปลดล็อกไอยูยู ฟิชชิ่ง จะมุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหาประมงขนาดใหญ่ แต่สำหรับอาชีพประมงพื้นบ้านแล้วกลับไม่ได้รับอานิสงส์จากการปลดล็อกครั้งนี้แต่อย่างใด เพราะยังมีกฎหมายประมงปี 2558 (พระราชกำหนดการประมงพ.ศ.2558) ยังมีผลบังคับใช้อยู่ทำให้ประมงพื้นบ้านยังไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
กระทั่งนายกสมาคมประมง จ.สมุทรสาคร "กำจร มงคลตรีลักษณ์” ออกมาโอดครวญทันทีที่สหภาพยุโรปปลดล็อกใบเหลืองไอยูยู ฟิชชิ่ง มีผู้ได้ประโยชน์แค่ผู้ส่งออกรายใหญ่เพียง 4-5 ราย ขณะที่ชาวประมงขนาดกลางและขนาดเล็กในประเทศไทยกลับไม่ได้อานิสงส์แต่อย่าง
“ผมไม่เข้าใจว่าภาครัฐบอกว่ามาตรฐานมากขึ้น เพราะว่าตั้งแต่ตอนยังไม่ปลด (ล็อก) มาตรฐานก็เกินอยู่แล้ว รัฐบาลเข้ามาก็มีการจัดระเบียบชาวประมงรุนแรงโดยตลอด เช่นเรื่อง พ.ร.ก.ประมง (พระราชกำหนดการประมง 2558) ก็มีโทษปรับรุนแรง เข้มงวด ผ่อนปรนน้อยมาก ทั้งการปรับและใช้กฎหมาย ตอนนี้ชาวประมงล้มหายตายจากไปเป็นครึ่ง จากการใช้กฎหมายรุนแรงจนบางครั้งออกเรือไม่ได้ ต้องเลิกไป”
กำจรมองว่า การปลดใบเหลืองครั้งนี้ชาวประมงไม่ได้อานิสงส์ ผู้ส่งออกจะได้อานิสงส์มากกว่า แต่ชาวประมงรับเคราะห์รับบาปมาโดยตลอดที่การส่งออกโดนกีดกัน เจอทั้งสั่งให้เรือจอดจากการใช้แรงงานไม่ถูกต้องและการจำกัดการทำการประมงปีละเพียง 200 กว่าวัน ส่วนสาเหตุที่ชาวประมงไม่ได้อานิสงส์นั้น เพราะไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือทำประมงที่มีศักยภาพสำหรับส่งออก และสินค้าทะเลที่ใช้ส่งออก เช่น ปลาทูน่า หรือปลาโอ ก็เป็นปลานำเข้าเพื่อแปรรูป ส่วนกุ้งทะเลส่วนใหญ่ก็บริโภคภายในประเทศ
จากรายงานข้อมูลสมาคมผู้นำเข้าอาหารแปรรูปและประมง สหภาพยุโรป หรืออียู ระบุว่าปัจจุบันอียูต้องการสินค้าประมงมากถึงปีละ 12 ล้านตัน ในจำนวนนี้ประมาณ 60% ผลิตได้ในอียู ส่วนที่เหลือ 40% ต้องนำเข้า โดยสินค้าหลักที่นำเข้าจากไทยได้แก่ ทูน่า กุ้งและหมึก แต่ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา การนำเข้าจากไทยได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องเพราะจากปัญหาไอยูยู และค่าเงิน
บรรจง นะแส ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทยเผยกับ “คม ชัด ลึก” ถึงผลจากการปลดล็อกไอยูยู ฟิชชิ่ง ในภาคการประมง โดยระบุว่าเราต้องเข้าใจพื้นฐานไอยูยู หรือไอยูยู ฟิชชิ่งว่าเป็นมาตรการเฉพาะส่วน เนื่องจากตลาดอียูมีสมาชิกในสหภาพยุโรป 24 ประเทศ ซึ่งมาตรการนี้เป็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมของอียู มีกรรมาธิการร่วมหลายประเทศเพื่อตอบรับกระแสพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเรื่องทะเลก็เป็นหนิ่งในนั้นอยู่ในข้อ 14 เรื่องการพัฒนาทะเลที่ยั่งยืน
“ถ้าเราย้อนไปอีกนิดหนึ่งมาตรการไอยูยู มันเกิดจากองค์การอาหารและยา หรือเอฟเอโอแห่งสหประชาชาติ เขาจะพูดถึงความมั่นคงทางอาหารทางทะเลเรื่องการทำประมงแบบรับผิดชอบ ซึ่งอียูเขาอยากจะให้ประเทศในเครือข่ายเขาดูดี ซึ่งเป็นแนวทิศทางนี้อยู่แล้วในสังคมโลก เช่นการไม่ใช้แรงงานเด็ก ไม่ใช้แรงงานทาส แต่มาโฟกัสที่ประมง เขาก็ออกมาตรการไอยูยู ฟิชชิ่งออกมา มาตรการนี้เขาไม่ได้ว่าใคร คุณจะไม่ทำก็ได้ แต่ห้ามเอาสินค้ามาขายในบ้านเรานะ มันก็เลยเป็นปัญหา เพราะส่งออกสัตว์น้ำไปยังตลาดอียูปีละกว่า 3 แสนล้าน”
บรรจงระบุว่าใบเหลืองไม่ใช่ปัญหาเพียงแต่เขาเตือนมาคุณจะต้องแก้ตามมาตรการที่เขาให้มา สินค้าก็ยังส่งไปขายได้ตามปกติ เพียงแต่จะเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งหากยังไม่แก้จะได้ใบเหลืองที่สองนั่นก็คือใบแดงห้ามนำเข้าตลาดอียูเด็ดขาด รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะอย่างนั้นจะมีผลกระทบอุตสหากรรมประมงทั้งระบบ
“มันก็เหมือนฟุตบอล ครั้งแรกเขาจะให้ใบเหลืองก่อนเป็นการเตือนถ้าคุณยังทำผิดอีกไม่เล่นตามกติกาก็จะได้ใบเหลืองที่สองนั่นก็คือใบแดง ไล่ออกจากสนามเลย ประมงก็เหมือนกัน เพราะถ้าไม่แก้ไขเราจะได้ใบแดง ถ้าโดนใบแดงสินค้าประมง 3 แสนยุ่งเลย เราจะหาตลาดที่ไหนรองรับ
"การปลดล็อกไอยูยูส่งผลดีต่อประมงชายฝั่งชัดเจน ที่ผ่านมาเรือประมงบ้านเรามีเรือเถื่อน เรือสวมทะเบียน เรือใช้แรงงานทาสเต็มไปหมด รัฐบาลก็ใช้ยาแรงออกประกาศเกือบ 3 ร้อยฉบับ จนพี่น้องประมงพาณิชย์ดิ้นไปตามๆ กัน เพราะชินกับการทำผิดมาก่อนไง ส่งผลให้มีการจอดเรือประท้วงบ้าง ไม่ขายปลาบ้าง ปิดแพปลาบ้าง แต่รัฐบาลไม่ยอมเพราะผลประโยชน์ชาติมันมากกว่าของกลุ่มหนึ่ง”
ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทยระบุอีกว่าจากเดิมที่ต้องจับเรือปั่นไฟจับลูกปลาทู หรืออวนลาก ใช้ตาอวนจับปลาเล็ก ซึ่งทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปหมด โดยเฉพาะประมงพื้นบ้านมีมากถึง 85% ของประชากรประมง ดังนั้นการปลดล็อกไอยูยู ฟิชชิ่ง ครั้งนี้จึงส่งผลดีต่อประมงชายฝั่งทั้ง 22 จังหวัด เพราะเรือเถื่อน เรือสวมถูกกำจัดทะเบียนออกไป ตามกฎหมายประมงปี 2558 ซึ่งมีบทลงโทษค่อนข้างรุนแรง ทำให้วันนี้สัตว์น้ำตัวเล็กๆ เริ่มกลับมา คนไทยได้รับประทานปลาในประเทศของเราเอง ไม่มีปลาทูนำเข้าเหมือนในอดีต
เขายอมรับว่าแม้อียูจะปลดล็อกไอยูยู ฟิชชิ่ง แต่สิ่งที่สมาคมรักษ์ทะเลไทยจะยังค่อยผลักดันต่อไปคือการแก้ไขกฎหมายบางมาตรา ในพ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 โดยเฉพาะการห้ามประมงพื้นบ้านออกจากฝั่งเกิน 3 ไมล์ทะเล การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านของหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนการจ่ายค่าชดเชยเมื่อเกิดความเสียหาย ซึ่งมาตรการต่างๆ เหล่านี้ยังไม่มีกับอาชีพการทำประมงพื้นบ้าน ในขณะอาชีพทำกินอื่นที่อยู่บนฝั่งไม่ว่าจะชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน รัฐมีมาตรการให้ความช่วยเหลือทั้งหมดแล้ว
“ตอนนี้มีอยู่ 2-3 เรื่องที่เรากำลังทำอยู่และจะเร่งผลักดันต่อไป คือการแก้กฎหมายพ.ร.ก.การทำประมง พ.ศ.2558 มีหลายมาตราที่ขัดแย้งกันอยู่ เช่น ห้ามประมงพื้นบ้านออกจากฝั่ง 3 ไมล์ก็ยังไม่จัดการ ชาวประมงพื้นบ้านบอกว่าไปขังเขาไว้แค่ 3 ไมล์ทะเลได้อย่างไร ในร่างกฎหมายก็อ้างว่าสงสารชาวประมงกลัวอันตราย แต่ชาวบ้านบอกว่า 1 ไมล์เขาก็ไม่ออกทะเล ถ้าคลื่นลมแรง เขาอยู่กับทะเล เขารู้ เวลาคลื่นสงบเขาไปไกล 10-20 ไมล์ทะเลได้ แต่กฎหมายห้ามไว้ไม่เกิน 3 ไมล์ ซึ่งก็ไม่เป็นธรรมสำหรับเขา”
บรรจงย้ำด้วยว่านอกจากนี้ที่เป็นปัญหา อาชีพประมงพื้นบ้านยังไม่ถูกบันทึกหรือไม่มีการขึ้นทะเบียนเกษตรกรเหมือนกับอาชีพอื่นๆ เมื่อเกิดปัญหาความเสียหายก็จะไม่ได้รับการเยียวยาหรือการดูแลจากภาครัฐ เพราะทะเลไม่มีโฉนด ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่สมาคมรักษ์ทะเลไทยจะต้องรีบดำเนินการโดยเร่งด่วนต่อไป
“ผมยืนยันว่าผลการปลดล็อกไอยูยู ฟิชชิ่ง ดีครับ แต่ใช่ว่าจะจบแค่นี้นะ ต้องแก้ต่อไป ถ้าไม่แก้ก็จะขาดหลักประกันและถึงเวลานั้นใบเหลืองก็จะกลับมาอีกครั้งครับ” ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทยกล่าวทิ้งท้าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง