ข่าว

ย้อนรอย"ราเกซ"ทำบีบีซีล่มตร.เตรียมกำลัง100นายคุ้มกันเข้ม

ย้อนรอย"ราเกซ"ทำบีบีซีล่มตร.เตรียมกำลัง100นายคุ้มกันเข้ม

29 ต.ค. 2552

เป็นอีกคดีหนึ่งที่กินเวลายาวนานกว่า 14 ปี และอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้จะได้รู้กันว่า "ราเกซ สักเสนา" พ่อมดการเงินชาวอินเดีย ผู้ก่อตำนานวิกฤติเศรษฐกิจการเงินในเอเชีย ที่เรียกกันว่า "โรคต้มยำกุ้ง" ในปี 2540 จะถูกนำตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย ในฐานะผู้ถ

 ในปีนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของราเกซ เมื่อก้าวเข้ามาเป็นที่ปรึกษาของ นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ กรรมการผู้จัดการแบงก์บีบีซี เขามีบทบาทในแวดวงการเงินช่วงนั้นอย่างมาก ราเกซและเกริกเกียรติพร้อมพวกเริ่มยักยอกทรัพย์บีบีซี ด้วยการปล่อยกู้ที่มีความเสี่ยงสูง และกิจกรรมที่ใช้เงินทุนสูงมากให้แก่นักการเมืองจำนวนหลายหมื่นล้านบาท แล้วตบแต่งบัญชีให้มีผลกำไรนับร้อยนับพันล้านบาทสวนกับความเป็นจริง มีการตั้งบริษัทมากู้เงินด้วยการนำที่ดินถิ่นทุรกันดารมากู้ สร้างเกมเทคโอเวอร์หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ มีการเทคโอเวอร์ในตลาดหลักทรัพย์นับสิบแห่ง โดยมีแบงก์บีบีซีเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และสนับสนุนเงินกู้ในการเทคโอเวอร์ให้บรรดานักการเมือง

 ด้วยเหตุนี้บีบีซีจึงล่มสลายด้วยหนี้สินมหาศาลราว 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 1.2 แสนล้านบาท ตามมาด้วยการปิดตัวของสถาบันการเงินกว่า 50 แห่ง ต่อมา 9 พฤษภาคม 2539 สุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายแฉกลโกงบีบีซีอย่างหมดเปลือก ทำให้นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รมว.คลัง สั่งปิดบีบีซีและปฏิบัติการล้างบางในธนาคารแห่งประเทศไทย ตามด้วยการดำเนินคดีกับนายเกริกเกียรติและนายราเกซ ฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ราว 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,000 ล้านบาท

 นายราเกซหลบหนีไปอยู่ที่ประเทศแคนาดาในปี 2539 และถูกตำรวจออกหมายจับเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ปีเดียวกัน และถูกตำรวจแคนาดาจับกุมได้ที่เมืองวิสต์เลอร์ แหล่งท่องเที่ยวเล่นสกีชื่อดังในมณฑลบริติชโคลัมเบีย ในอีก 1 เดือนต่อมา เวลาไล่เลี่ยกันนายเกริกเกียรติก็เข้ามอบตัวสู้คดี 9 ปีให้หลังการพิจารณาคดี ศาลอาญากรุงเทพใต้ก็มีคำตัดสินพิพากษาจำคุกนายเกริกเกียรติ 3 คดี คดีละ 10 ปี รวมเป็น 30 ปี ปรับ 3,330 ล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548

 อย่างไรก็ดี นายราเกซได้ดิ้นรนต่อสู้คดีส่งผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อไม่ให้ถูกส่งตัวกลับมาเมืองไทยทุกวิถีทาง โดยอ้างว่าถูกใส่ร้ายให้เป็นแพะรับบาปจากกลุ่มผู้บริหารบีบีซี และผู้กำกับดูแลระบบการเงินของไทย ที่พยายามปกปิดเรื่องอื้อฉาวในบีบีซี ต่อมาในปี 2546 นายมาร์ติน คูชอน รมว.ยุติธรรมของแคนาดา มีคำตัดสินให้ส่งตัวราเกซให้ทางการไทย แต่พ่อมดการเงินก็ยื่นอุทธรณ์โดยยกเหตุผลว่า ถ้ากลับมาเมืองไทยจะถูกสังหารหรือถูกคุมขังอย่างทารุณ กระทั่งวันที่ 11 มิถุนายน 2552 ศาลอุทธรณ์มณฑลบริติชโคลัมเบีย ก็มีคำพิพากษายืนตามคำตัดสินของ รมว.ยุติธรรมแคนาดา

 ทีนี้ก็มาถึงการยื่นฎีกา ซึ่งผลการตัดสินจะออกมาราวๆ 2 ทุ่มของวันที่ 29 ตุลาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้รู้กันแล้วว่า พ่อมดการเงินจะถูกส่งตัวกลับมาดำเนินคดีตามความผิด พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ หรือไม่

 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้เตรียมความพร้อมเอาไว้ทุกด้าน หากว่าศาลฎีกามีคำตัดสินยกคำร้องเนรเทศนายราเกซออกนอกประเทศแคนาดา ตำรวจ อัยการ และทีมงานที่เดินทางไปรับตัวจะนำตัวเดินทางขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทยทันที จากนั้นจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเกือบ 100 นายในการดูแลและรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ถูกกล่าวหารายสำคัญคนนี้

 จากการพูดคุยกับนายตำรวจระดับสูงของ สตช. ได้รับการเปิดเผยว่า ได้จัดเตรียมกำลังดูแลรักษาความปลอดภัยราเกซตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน โดยอาจจะให้สวมใส่เสื้อเกราะกันกระสุนด้วย พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่คุ้มกันคล้ายกับบุคคลวีไอพี เนื่องจากมีทั้งคนได้และคนเสียประโยชน์จากคดีนี้ มีการจัดเตรียมอาวุธพิเศษคอยคุ้มกันตลอดการเดินทางถึงกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)

 "บางทีอาจต้องจัดรถ กำหนดเส้นทางหลัก เส้นทางหลบหนี และอาจต้องใช้ตัวหลอก แทนนายราเกซด้วย นอกจากนี้ ยังให้เฮลิคอปเตอร์จากกองบินตำรวจคอยสแตนด์บายเอาไว้ด้วย หากเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถบินมารับตัวจากสุวรรณภูมิไปที่กองปราบได้เลย" นายตำรวจระดับสูง กล่าว

 นอกจากมาตรการข้างต้นแล้ว สตช.ยังเตรียมตั้งคณะพนักงานสอบสวน เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาพ่อมดการเงินชาวอินเดียผู้นี้ รวมถึงแพทย์ ล่าม และทนายความเอาไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม ตำรวจและอัยการยังมีความกังวลใจอยู่ว่า การออกมาให้ข่าวเกี่ยวกับราเกซ รวมถึงการคาดหวังว่าจะได้ตัวกลับมาดำเนินคดีในเมืองไทย จะเป็นการกดดันศาลแคนาดา หรืออาจมีการฟ้องร้องเรื่องสิทธิมนุษยชนตามมาภายหลังได้ สำหรับนายราเกซมีคดีที่เกี่ยวข้องตามความผิด พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ ทั้งสิ้น 20 คดี ที่สำนักงานอัยการสูงสุดประสานไปยังศาลแคนาดานั้น เป็นเพียง 1 ใน 20 คดีเท่านั้น