ศาลฎีกาอินเดียมีคำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ว่าการคบชู้ไม่ใช่อาชญากรรมอีกต่อไป ชี้ขัดรัฐธรรมนูญ-เลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง
คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา 5 คนมีคำตัดสินด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า มาตรา 497 ว่าด้วยการกระทำผิดฐานคบชู้ของประมวลกฎหมายอาญา ขัดต่อรัฐธรรมนูญและให้ยกเลิกมาตรานี้ แต่การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสยังคงเป็นเหตุผลที่ใช้ในการหย่าร้างได้
กฎหมายมาตรานี้ถูกประกาศใช้ตั้งแต่ 158 ปีที่แล้วในยุคที่อินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ โดยกำหนดว่า หากชายคนใดหลับนอนกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วโดยไม่ได้รับการยินยอมจากสามีของฝ่ายหญิงถือว่าเป็นการคบชู้ และเป็นอาชญากรรมที่ผู้ชายอาจต้องรับโทษจำคุกถึง 5 ปี
ผ่านมารัฐบาลยืนยันว่า กฎหมายมาตราว่าด้วยการคบชู้ยังคงต้องมีไว้เพื่อคุ้มครองความศักดิ์สิทธิ์ของการแต่งงาน แต่เมื่อเร็วๆนี้มีผู้ยื่นร้องเรียนให้ศาลวินิจฉัยเพื่อยกเลิกมาตรานี้เพราะถูกนำไปใช้โดยอำเภอใจและเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง
คำตัดสินของศาลระบุว่า ความคิดที่ว่าการคบชู้เป็นอาชญากรรม เป็นเรื่องการถอยหลังเข้าคลอง กฎหมายมาตรานี้ลิดรอนเกียรติศักดิ์ศรีและทางเลือกแต่ละบุคคลของผู้หญิง รวมทั้งทำให้ผู้หญิงเป็นเหมือนสมบัติของผู้ชาย
นับเป็นครั้งที่สองในเดือนเดียวกัน ที่ศาลสูงตัดสินยกเลิกกฎหมายยุคอาณานิคมที่ควบคุมทางเลือกทางเพศของพลเมือง 1,250 ล้านคนของอินเดีย หลังจากเพิ่งคว่ำกฎหมายที่ห้ามเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน นับจากใช้มานาน 157 ปี
ประสาน ภูชาน ทนายความในศาลสูง กล่าวว่า คำตัดสินประวัติศาสตร์ทั้งเรื่องเซ็กส์ของคนเพศเดีวกัน และการคบชู้ แสดงให้เห็นว่าผู้พิพากษายึดหลักคิดเสรีนิยมและรัฐธรรมนูญ
ในปี 2497 ศาลสูงยืนคำพิพากษาว่า การคบชู้เป็นอาชญากรรม พร้อมระบุว่าเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ผู้ชายคือฝ่ายล่อลวง ไม่ใช่ผู้หญิง แต่ในคำพิพากษาวันนี้ ผู้พิพากษาระบุว่า ผู้ชายเป็นฝ่ายมอมเมา ผู้หญิงเป็นเหยื่อ ไม่ใช่อีกต่อไป ความเท่าเทียมต่างหากคือหลักที่ควรยึด และสามีไม่ใช่เจ้าชีวิตของภรรยา นอกจากนี้ อังกฤษเองก็เลิกกฎหมายลงโทษฐานคบชู้ไปนานแล้วเช่นกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง