ข่าว

ราคาถั่วเหลืองปีหน้าเพิ่ม10-20%เอกชนประเมินอาฟตากระทบหนักชาวไร่ข้าวโพด

ราคาถั่วเหลืองปีหน้าเพิ่ม10-20%เอกชนประเมินอาฟตากระทบหนักชาวไร่ข้าวโพด

26 ต.ค. 2552

สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์คาดความต้องการใช้อาหารสัตว์ปี 53 อยู่ที่ 12 ล้านตัน เชื่อราคาถั่วเหลืองพุ่ง 10-20% ตามราคาน้ำมันดิบ ขณะที่บาทแข็งช่วยยั้งต้นทุนไม่ปรับสูงขึ้นตาม เตรียมเสนอกระทรวงพาณิชย์หั่นภาษีกากถั่วเหลือง 0% พร้อมประเมินเปิดเสรีอาฟตา กระทบชาวไร่ผู

 นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปี 2553 นั้น ส่งผลให้สมาคมประมาณการความต้องการภาคปศุสัตว์ในปีหน้าว่าจะมีอัตราใกล้เคียงกับปี 2552 และคาดว่าจะมีการใช้อาหารสัตว์ประมาณ 12 ล้านตัน

 โดยสถานการณ์ราคาถั่วเหลืองคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10-20% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งขณะนี้ราคาน้ำมันดิบวิ่งไปถึง 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว ประกอบกับภัยธรรมชาติ คาดว่าจะทำให้ผลผลิตถั่วเหลืองลดลง อย่างไรก็ตาม การที่เงินบาทแข็งค่า ก็จะไม่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตมากนัก แต่คงจะวางใจไม่ได้และต้องเฝ้าติดตามดูทุกวัน

 ทั้งนี้ ในส่วนของถั่วเหลืองทางสมาคมจะเสนอให้รัฐบาลลดภาษีการนำเข้ากากถั่วที่ยังเก็บอยู่ 2% ให้เหลือ 0% เพราะถือว่าเป็นต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยที่ไม่ได้ให้ประโยชน์กับฝ่ายใดเลย ซึ่งสมาคมจะทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์

 นายพรศิลป์กล่าวว่า การเปิดอาฟตาจะส่งผลกระทบกับการผลิตข้าวโพดภายในประเทศ โดยอาจจะรุนแรงถึงขั้นที่เกษตรกรจะต้องเลิกปลูกข้าวโพดในที่สุด ทั้งนี้ เพราะประเทศเพื่อนบ้านของไทยมีศักยภาพในการผลิตสูงมาก ได้เปรียบด้านแรงงาน ผืนดินยังอุดมสมบูรณ์ และพร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ หากราคาต่ำกว่าไทยประมาณ 25% ผู้ประกอบการก็ไม่จำเป็นต้องซื้อข้าวโพดในประเทศอีกต่อไป

 "หากมีการเปิดเสรีนำเข้าขึ้นมา ปัญหาล้นตลาดจะยิ่งรุนแรง แม้ว่ารัฐจะมีโครงการประกันราคาแต่ก็ต้องบริหารจัดการให้ดีและไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จ โดยราคาในปี 2553 คาดว่าจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 6 บาทต่ำกว่าราคาประกันที่กำหนดไว้กิโลกรัมละ 7.10 บาท” นายพรศิลป์ กล่าว

 สำหรับ การลดผลกระทบอาฟตาในส่วนของข้าวโพด รัฐบาลต้องเตรียมถ่ายเทอาชีพเกษตรกรให้ปลูกพืชอื่น วางแผนการผลิตเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ผลผลิตสอดคล้องกับความต้องการ และจะต้องปรับโครงสร้างการผลิตทั้งหมดเปลี่ยนเป็นการทำเกษตร 2 ลักษณะ คือ 1.เกษตรพอเพียง และ 2.เกษตรเพื่อการแข่งขัน โดยเกษตรพอเพียงมีเพื่อบริโภคเอง ส่วนเกษตรเพื่อการแข่งขัน เกษตรกรต้องรวมตัวเป็นหุ้นส่วนตั้งบริษัท หรือสหกรณ์ขึ้นมาบริหารจัดการ นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ซึ่งจะเกิดวงเงินลงทุนที่ชัดเจนมีการพัฒนาไปพร้อมๆ ศักยภาพการแข่งขันมีมากขึ้น