เล็งเจาะหย่อนกล้องส่อง"พัทยาบีช"ช่วย 13 ชีวิต | คมชัดลึก

          ผ่านไปแล้ว 6 วัน การติดตามค้นหาโค้ชและนักฟุตบอลเยาวชนทีมหมูป่า จำนวน 13 คน ที่พลัดหลงอยู่ในถ้ำหลวง วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา ยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำภายในถ้ำสูงขึ้น เจ้าหน้าที่หน่วยซีล กองทัพเรือ และมนุษย์กบ กรมตำรวจ และหน่วยงานอื่น ต้องหยุดชะงัก อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านนอก ระดมกำลังสำรวจบริเวณโดยรอบและบนภูเขา ด้วยความหวังว่าจะพบตัว นอกจากนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำ และนักธรณีวิทยาจากต่างประเทศ มาช่วยค้นหาอีกด้วย


 

          เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน หลังจากมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงเช้า ทำให้มีน้ำเอ่อที่บริเวณหน้าถ้ำ ซึ่งเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ต้องหยุดปฏิบัติภารกิจชั่วคราว เพื่อรอให้ระดับน้ำลดลงจึงจะเข้าปฏิบัติการอีกครั้ง จนกระทั่งบ่ายวันนี้ เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถดำน้ำเข้าไปได้ ดังนั้น จึงแบ่งกำลังพลขึ้นสำรวจบนภูเขาร่วมกับชาวบ้านและหน่วยงานต่างๆ เพื่อหาช่องทางอื่นที่อาจเข้าถึงตำแหน่งที่คาดว่าเด็กจะอยู่ ขณะที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้นำกล้องส่องบ่อบาดาล หรือทีวีบอร์โฮลด์ ซึ่งสามารถหย่อนไปเก็บภาพใต้น้ำ ส่งสัญญาณสู่จอภาพด้านบนเข้าสำรวจ โดยจะนำรถเครื่องเจาะบาดาลมาเจาะหลังจากได้ผลสำรวจจากโดรนขึ้นหาจุดที่ตรงกับหาดพัทยา เพื่อหาทางเข้าไป

ดาวเทียม“จิสด้า”พบปล่องถ้ำเตรียมเจาะ

          พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ซึ่งเดินทางเข้าไปภายในถ้ำหลวง เพื่อติดตามความคืบหน้าภารกิจติดตามช่วยเหลือ 13 ชีวิต กล่าวว่า ได้สอบถามเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมทรัพยากรธรณี ทราบว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการวางแผนกับผู้เชี่ยวชาญส่วนต่างๆ ในการเจาะปล่องถ้ำหลวง ซึ่งจะเป็นการเจาะจากด้านบนของถ้ำหลวง ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาตำแหน่ง และแนวทางการยกเครื่องขุดเจาะขึ้นไปด้านบนด้วย โดยพบภาพดาวเทียมจิสด้าที่เคยสำรวจไว้พบปล่องถ้ำ


 

          พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวต่อว่า สำหรับปริมาณน้ำในถ้ำหลวงขณะนี้ พบว่าปริมาณน้ำยังสูงขึ้นและอยู่บริเวณปากถ้ำ จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตัดสินใจเรื่องการเจาะถ้ำโดยเร็ว ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่น และให้เอาชีวิตคนไว้ก่อน ทำทุกทางให้ดีที่สุด ช่วยชีวิตทั้ง 13 คนให้ได้ อย่างไรก็ตาม จะต้องรอฟังมติจากที่ประชุมก่อน

“เจาะถ้ำ” เหนือพัทยาบีช

          นายนิวัติ บุญนพ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรณี เขต 1 เปิดเผยว่า ในที่ประชุมมีมติให้เจาะถ้ำหลวง โดยในช่วงเย็นวันนี้ (28 มิ.ย.) ทีมงานจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จะนำเครื่องวัดความต้านทานไฟฟ้าเข้าตรวจสอบพื้นที่ด้านบนถ้ำซึ่งเป็นจุดที่ตรงกับหาดพัทยาในถ้ำ


 

          นายนิวัติกล่าวว่า ที่ประชุมส่วนใหญ่สันนิษฐานว่าเด็กและโค้ชน่าจะพักอยู่ในจุดนี้ หากผลออกมาเป็นบวกก็จะดำเนินการเจาะถ้ำ โดยนำเครื่องมือเจาะของกรมทรัพยากรมาเจาะด้านบนของถ้ำ โดยเครื่องนี้จะทำให้มีขนาดความกว้าง เส้นผ่านศูนย์กลาง 6 นิ้ว ลึก 120 เมตร จากนั้นนำกล้องทีวีหรือทีวีบอร์โฮลด์หย่อนเข้าไปเพื่อส่องจุดโพรงด้านใน ถ้าพบเยาวชนก็จะหย่อนน้ำ อาหารลงไปให้ก่อน

          นายนิวัติกล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ต้องรอผลสแกน ใช้เวลาอย่างเร็ว 6 ชั่วโมง ถ้าผลออกมาว่าไม่มีผลต่อการพังทลายของหิน และความลึกของหิน ก็ขุดเจาะได้เลย จุดที่ต้องเจาะมี 3 จุด จุดตรงกับหาดพัทยา จุดหน้าปากถ้ำ และจุดด้านทิศใต้ของถ้ำที่มีน้ำไหล

ม.เกษตรฯ พร้อมปฏิบัติการ

          รศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมปฐพี ม.เกษตรศาสตร์ บอกถึงความหน้าการเตรียมเจาะผนังถ้ำหลวงว่า จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เพอร์คัสชั่น ดิวลิ่ง หรือตัวเจาะกระแทก เบื้องต้นจะต้องเจาะในลักษณะแนวราบ ด้านข้างภูเขา จะไม่เจาะในแนวดิ่งบนภูเขา เนื่องจากมีความเสี่ยง จะมีรัศมีความกว้างของรูเจาะ 4-5 นิ้ว จากนั้นจะใช้กล้องส่องสว่าง หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการบันทึกภาพ สอดเข้าไปด้านในเพื่อดำเนินการ

          “การเจาะครั้งนี้มีความเสี่ยงด้านการสั่นสะเทือนอยู่บ้าง และต้องดูด้วยว่าจะมีอุปสรรคขณะที่เจาะหรือไม่ ทั้งเรื่องของหินที่จะหล่นลงมา และฝนที่จะตกลงมาด้วย” รศ.ดร.สุทธิศักดิ์กล่าว
ปฏิบัติการเจาะถ้ำระบายน้ำ

          เมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่นำรถเจาะขนาดใหญ่มาถึงถ้ำหลวง โดยเจ้าหน้าที่วางแผนเพื่อเตรียมเจาะในจุดแรกบริเวณจุดโถงพัทยาบีชก่อน ซึ่งคาดเป็นจุดที่ทั้ง 13 ชีวิตอยู่บริเวณนั้น

          นายณัฐพงษ์ หอจตุรพิธพร หัวหน้าชุดขุดเจาะ กล่าวว่า ประสานงานกับจังหวัดเชียงราย นำรถขุดเจาะจำนวน 3 คัน โดยการขุดเจาะเข้าไปโดยตรง ในขนาด 6 นิ้ว สามารถระบายน้ำได้ถึง 1,000 ลูกบาศก์เมตร เหมือนการเจาะบาดาลแต่เป็นการเจาะแนวราบ โดยใช้ลม ซึ่งจะเจาะใกล้กับริมหน้าผาใกล้ถ้ำที่สุด ในความลึก 120 เมตร ไม่มีผลกระทบกับโครงสร้างถ้ำแน่นอน หากเจาะตรงนี้ได้ผล จะมีรถอีกชุดเจาะเข้าไปใกล้ถ้ำมากขึ้น และจะสามารถระบายน้ำได้เร็วขึ้นอีกด้วย


 

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเจ้าหน้าที่เริ่มติดตั้งเครื่องมือเพื่อเจาะหน้าผา จู่ๆ ก็มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องรอให้ฝนเบาลง ก่อนเริ่มปฏิบัติภารกิจเจาะผาถ้ำหลวง เพื่อระบายน้ำออกจากถ้ำอีกทาง

          พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ เดินทางไปตรวจอุปกรณ์และเครื่องเจาะน้ำบาดาลบริเวณป้ายวนอุทยานฯ บริเวณหน้าถ้ำ หลังจากทางศูนย์ฯ และกรมทรัพยากรธรณีได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นจุดที่น้ำใต้ดินภายในถ้ำไหลผ่านพอดี โดยตั้งอยู่ห่างจากปากถ้ำแค่ประมาณ 15 เมตรเท่านั้น

          พล.อ.สุรศักดิ์กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้คำนวณแล้วคาดว่าเป็นจุดที่น้ำในถ้ำไหลผ่าน และเหมาะสมที่สุดแล้ว และจะเจาะในแนวเอียง ไม่เจาะในแนวตั้งเหมือนน้ำบาดาลทั่วไป เพื่อให้เข้าช่องหินด้านข้างเข้าไปภายในถ้ำ โดยเครื่องนี้มีศักยภาพเจาะได้ลึกกว่า 500 เมตร หากเจอน้ำตามที่ได้คำนวณไว้ก็จะเร่งระบายออกมาโดยเร็ว ซึ่งจะแบ่งเบาการสูบน้ำออกจากภายในถ้ำที่กำลังดำเนินการอยู่ ทั้งนี้การระบายน้ำจากการเจาะนี้สามารถทำได้ตลอด 24 ชม.


 

          “หากเจาะเต็มความลึกที่เครื่องสามารถทำได้ จะใช้ระยะเวลาการเจาะนานประมาณ 5 ชม. โดยจะเจาะเพียงแค่จุดเดียวก่อน เพราะเป็นจุดที่คำนวณแล้วเชื่อเจอร่องน้ำนั่นเอง”

          นายสุทิน ไชยชมภู นายกสมาคมน้ำบาดาลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเจาะไม่ได้หมายความว่าเราจะเจาะให้ถึง 500 เมตร เพราะหากลึกแค่ 20 เมตรแล้วเจอน้ำในปริมาณ 100 คิวต่อ ชม. เราก็จะหยุดทันทีเพื่อเร่งระบายน้ำออกมาด้วยเครื่องสูบทันที ทั้งนี้เครื่องมีความแรงเจาะได้ 100 เมตรแรกใช้ระยะเวลา 3 ชม. ซึ่งคาดหวังว่าจะเจอน้ำเร็วกว่านั้นต่อไป

"วิระชัย"นำทีมเดินเท้าสำรวจหาปล่องถ้ำ          พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. พร้อมคณะ และ 3 ผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติด้านการหาจีพีเอส และปล่องถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ที่เคยเข้าไปสำรวจ ประชุมร่วมกัน เพื่อหาช่องทางโรยตัวจากผาหมีเพื่อเข้าไปช่วยเด็กๆ


 

          พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า ตลอด 4 วันที่ผ่านมาการเข้าไปของหน่วยซีล เข้าไปจากจุดที่พบรองเท้าเด็กแล้วจะเลี้ยวซ้าย แต่วันนี้(28 มิ.ย.) เป็นครั้งแรก ที่จะเข้าไปแล้วเลี้ยวขวา เพราะสันนิษฐานว่าเป็นไปได้ว่าเด็กอาจจะวางรองเท้าทิ้งไว้เพราะเห็นน้ำเอ่อแล้วก็เลี้ยวขวาไปข้างใน นอกจากนี้ อีกจุดหนึ่งบนถ้ำ ตำรวจป่าไม้ใช้ดาวเทียมจิสด้า พบโพรง 2-3 โพรง มีอยู่โพรงหนึ่งค่อนข้างมั่นใจว่าเข้าได้

          “วันนี้ ผู้ปกครองของทั้ง 13 คน ได้นำเสื้อผ้ามาให้ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะให้สุนัขตำรวจดมกลิ่นหลังจากพบปล่องบริเวณใด ก็จะให้สุนัขตำรวจดมกลิ่นเสื้อผ้าของเด็กแล้วติดตามค้นหาเด็ก” พล.ต.ต.วิระชัยกล่าว

 

          พล.ต.อ.วิระชัยกล่าวก่อนนำทีมขึ้นสำรวจบนภูเขาว่า ปฏิบัติการของทีมเดินเท้าหาปล่องเหนือถ้ำหลวง เพื่อหาจุดหย่อนอาหารและโรยตัวเข้าไปในถ้ำ โดยจะเดินไปทางดอยผาหมี ฝั่งขวาของสามแยกในถ้ำ ซึ่งเป็นโซนที่ยังไม่ได้สำรวจด้านใน

          จากข้อมูลคือ จากสามแยกไปทางขวาของถ้ำ 750 เมตร เพดานเตี้ย ไม่น่าจะมีคนอยู่ แต่ช่วง 750-1,250 เมตร มีห้องโถงสูง 10-30 เมตรเป็นห้องที่ 1 และถัดไปจากนั้น มีโถงสูง 60 เมตร เป็นห้องที่ 2 ซึ่งให้ความสนใจในทั้ง 2 ห้อง และเชื่อว่า ทุกห้องโถงมักมีโพรงเชื่อมโยงลงไป โดยเจ้าหน้าที่จะใช้การสันนิษฐานจากโพรงภายในถ้ำ หากตรงไหนมีโพรงใหญ่แสดงว่าเหนือบริเวณนั้น อาจจะมีปล่องอากาศอยู่ ซึ่งเราจะตั้งสันนิษฐานจากตรงนั้น

ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ-อเมริการ่วมสำรวจ

          พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวต่อว่า ส่วนจะรู้ว่าโพรงอยู่ตรงไหนนั้น นายโรเบิร์ต ฮาร์เปอร์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับจีพีเอสมาช่วยค้นหา นอกจากนี้ยังมี นายยลาร์รี ลี ริสเชอร์ ชาวไทย-อเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูปล่องอากาศ และนายเวิร์น อันสเวิร์ธ นักสำรวจถ้ำชาวอังกฤษ ที่เคยสำรวจถ้ำหลวง ซึ่งเขาจะรู้ภาพที่เรามีอยู่ทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร


 

ปล่อยโดรนค้นหาปล่องบนภูเขา

          พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวต่อว่า เมื่อพบพิกัดแล้ว เราจะให้โดรนบินสำรวจดูโดยรอบบริเวณว่าเจอปล่องตรงไหน เมื่อเจอปล่องแล้วเราจะใช้สุนัขตำรวจดมกลิ่นอีกด้วย เผื่อลมที่ออกมาจากถ้ำจะส่งกลิ่นภายในถ้ำขึ้นมา เราก็จะสามารถรู้ได้ว่าปล่องไหนตัน หรือปล่องไหนไม่ตัน ทั้งนี้ เวลาปฏิบัติการก็ขอให้เจ้าหน้าที่แบ่งกำลังสแกนในรัศมีเป็นวงไป เหมือนเวลาเราตรวจสอบที่เกิดเหตุ และขยายวงไปเรื่อยๆ ในลักษณะการปูพรม อย่างไรก็ตาม ขอให้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติด้วย


 

          รายงานแจ้งว่า จากการเดินเท้าสำรวจในช่วงแรก เจ้าหน้าที่พบปล่องถ้ำ ความกว้าง 1 เมตร ลึกประมาณ 20 เมตร เจ้าหน้าที่ลงไปได้ไม่ลึก ก็ไม่สามารถไปต่อได้ เพราะต่อจากนั้นเป็นช่องเล็กๆ ที่ค้างคาวบินผ่านได้เท่านั้น

          นอกจากนี้ โดรนยังพบปล่องถ้ำอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะเจ้าหน้าที่จะเร่งเข้าทำการสำรวจต่อไปว่าจะสามารถเข้าไปแล้วลงถึงจุดที่เด็กอยู่กันหรือไม่
พบ “หมวกแก๊ป” สีแดงลายยอดมนุษย์

          ขณะเจ้าหน้าที่เดินเท้าสำรวจเส้นทางดอยผาหมี พบหมวกแก๊ป สีแดงลายยอดมนุษย์ เขียนหน้าหมวกว่า SUPERMAN ลอยมากับน้ำตก โดยสภาพหมวกใหม่เปียกน้ำชุ่ม จึงสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นของคนใดคนหนึ่งในกลุ่มผู้สูญหาย 13 คน ซึ่งน่าจะติดอยู่ส่วนไหนของถ้ำแล้วพยายามโยนหมวกส่งสัญญาณมาขอความช่วยเหลือ เสมือนเป็นการบอกทาง จึงได้เก็บหมวกเพื่อนำไปสอบถามญาติว่าเป็นหมวกของเด็กคนใด


 

          อย่างไรก็ตาม ญาติของทั้ง 13 คน ซึ่งได้เห็นภาพหมวกใบดังกล่าว ต่างยืนยันว่า ไม่ใช่ของบุตรหลานของตน

พบโพรงท้องถิ่นตรงกับแนวถ้ำหลวง

          นายณรงค์ วงค์เตือนใจ อายุ 50 ปี ชาวบ้านจากหมู่บ้านจ้องวัด หมู่ 9 ต.โป่งผา อ.แม่สาย ได้เข้าแจ้งต่อ พ.ต.อ.รังสิมันต์ สงเคราะห์ธรรม ผกก.ตชด.32 ว่าคนท้องถิ่นได้พบปล่องขนาดใหญ่ที่ตรงกับแนวถ้ำหลวง บริเวณเหนือโพรงสามแยกที่มีน้ำท่วม และเจ้าหน้าที่กำลังสูบน้ำออกมาอย่างหนัก

          “เคยเข้าไปในถ้ำหลายครั้ง และเคยไปหาฟืนในป่า เคยพบปล่องที่มีความกว้างกว่า 1 วา ชาวบ้านหลายคนก็รู้และเคยเอาหินโยนลงไปหรือเอาไฟส่องลงไปแต่ไม่ทะลุถึงพื้น แสดงว่ามีความลึกมาก ที่สำคัญแนวนั้นตรงกับถ้ำพอดี” นายณรงค์กล่าว


 

          นายณรงค์ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับปล่องดังกล่าว โดยเฉพาะแนวหรือจุดที่ชัดเจนเพราะเกรงว่าจะไปตรงกับปล่องเดิมที่ทางเจ้าหน้าที่เคยส่งทีมไปสำรวจแล้ว และพบว่าเป็นปล่องที่ไม่สามารถลงไปทะลุได้ หลังจากนั้นนายณรงค์และชาวบ้านได้นำเจ้าหน้าที่ไปดูจุดดังกล่าว ซึ่งนายณรงค์แจ้งว่าใช้ระยะเวลาเดินทางไปทางทิศตะวันตกเพียงประมาณ 1 ชม. ขณะเดียวกันสภาพบรรยากาศเปิดและมีแสงแดดทำให้ฝ่ายทหารสามารถส่ง ฮ.ขึ้นบินสำรวจได้

 

ปตท.สผ.นำโดรน“เอ็มพริโบ”ค้นหา

          วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่จาก ปตท.สผ. ชุดสำรวจและขุดเจาะผลิตปิโตรเลียม นำโดย นายธนา สราญเวชภัณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญ บริษัทปตท. ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) เข้าสำรวจพื้นที่โดยใช้อากาศยานไร้คนขับขนาดใหญ่ หรือโดรน โซลาร์สแกนเนอร์ จำนวน 3 ตัว สำหรับบินสำรวจและถ่ายภาพทางอากาศ


 

          โดรนดังกล่าวสามารถตรวจจับคลื่นความร้อนของวัตถุและสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านในถ้ำ และประมวลภาพออกมาเป็น 3 มิติ สามารถบินได้ในรัศมี 2 ตร.กม. เพื่อช่วยวางแผนสำหรับทีมกู้ภัย โดรนดังกล่าวนั้นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับสำรวจในการขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียม และสามารถบินได้แม้ในสภาพอากาศที่ค่อนข้างปิด จะเริ่มทำการบินได้ทันทีหลังจากประชุมกับคณะทำงาน สำหรับการทำงานเสริมกับทีมใต้น้ำก็ได้เตรียมหุ่นยนต์สำรวจใต้น้ำ ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถทำงานได้ภายใต้ภาวะน้ำขุ่นและโคลน


 

          “ใช้โดรนเอ็มพริโบ 2 ตัวใหญ่ และ 1 ตัวเล็ก ที่เดิมใช้ในการสำรวจตรวจจับปิโตรเลียม คุณสมบัติสามารถซูมได้ 30 เท่า รัศมีการบังคับเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 กิโลเมตร และมีกล้องตรวจจับความร้อน สามารถสั่งการบินได้ภายในชั่วโมงนี้ เนื่องจากฝนฟ้าอากาศไม่มีผลต่อการบังคับแต่อย่างใด” นายธนากล่าว


 

          รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสำรวจของทางปตท.สผ.พบว่าปล่องที่อยู่เหนือบริเวณพัทยาบีช ที่คาดว่าจะเป็นที่อยู่ของกลุ่มผู้สูญหายและทางหน่วยซีลยังเข้าไปไม่ถึง มีอยู่ด้วยกัน 4 ปล่อง และจากการสำรวจพบว่าปล่องที่4 มีความเหมาะสมที่จะเจาะเพื่อนำกล้องทีวีบอร์โฮลด์หย่อนลงไปเพื่อตรวจดูว่ามีคนอยู่บริเวณดังกล่าวหรือไม่

มท.1 เผยทุกฝ่ายเร่งทำงานแข่งกับเวลา

          พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ตอนนี้ระดับน้ำในถ้ำสูงขึ้น เนื่องจากฝนตกหนัก ทำให้ต้องหยุดการสูบน้ำ จากนี้เจ้าหน้าที่เตรียมการใน 2 เรื่อง



          โดยเตรียมสูบน้ำในแอ่งระหว่างทางในถ้ำไปเรื่อยๆ ก่อนส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปและส่งปั๊มน้ำเพิ่มเข้าไป โดยจะยกสายไฟให้เหนือน้ำ และจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด หากไม่มีฝนตกเพิ่ม หน่วยซีลจะเข้าไปเร็วที่สุด โดยประสานความร่วมมือกับทีมงานจากสหรัฐและอังกฤษ แต่ตอนนี้ยังดำน้ำค้นหาไม่ได้

          พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า น้ำมาถึงปากถ้ำและโถงถ้ำด้านหน้าแล้ว ทำให้จากนี้ต้องเร่งสูบน้ำในแอ่งน้ำใหญ่ภายในถ้ำ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะไม่รอเวลาให้น้ำลดเอง โดยเตรียมวางหัวสูบน้ำหนวดปากหมึก 20 จุดด้วย

สำรวจปล่องเหนือถ้ำ 3 จุด

          พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนการสำรวจหาปล่องเหนือถ้ำ จากการตรวจสอบพบ 3 จุด จุดแรกเข้าไปได้ 50 เมตร จุดที่สองเข้าไปได้ 20 เมตร และจุดที่สามเข้าไปได้ 10 เมตร ตอนนี้กำลังตรวจสอบว่าปล่องทั้ง 3 จุดจะเข้าไปได้แค่ไหน โดยวิศวกรรมสถานและกรมทรัพยากรธรณีเตรียมใช้เครื่องมือวิเคราะห์ปล่องและใช้เครื่องมือสอดลงไปว่าลงไปได้อีกหรือไม่ พร้อมใช้เครื่องสำรวจลักษณะของภูเขาและถ้ำด้วยว่ามีลักษณะเช่นไร เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ในการค้นหา


 

          “ยังมีอีก 2 แนวทาง ที่วิศวกรรมสถานและกรมทรัพยากรธรณีเสนอมา โดยได้เสนอให้ใช้เครื่องเจาะจากด้านข้างถ้ำ แต่ต้องหาจุดที่เจาะได้ และต้องหาทางนำเครื่องเจาะนี้ที่มีน้ำหนักมากถึง 1 ตันขึ้นไปบริเวณถ้ำ รวมทั้งหาพิกัดที่จะเจาะด้วย ซึ่งต้องคุยกับทหารในการยกเครื่องมือขึ้นไปด้วย”

หาทางขยายปลายถ้ำพบน้ำไหล

          พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ส่วนปลายถ้ำที่อยู่เลยโถงพัทยาบีช เจ้าหน้าที่ได้ลาดตระเวนพบมีน้ำออกมาจากปลายถ้ำ โดยกำลังหาทางขยายปลายถ้ำ เพื่อระบายน้ำออก และอาจใช้เป็นอีกช่องทางเข้าไปช่วยเหลือด้วย โดยตอนนี้เจอปลายถ้ำแล้ว ส่วนบริเวณผาหมี เจ้าหน้าที่กำลังเข้าไปตรวจสอบอยู่

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางวิศวกรรมสถานคาดว่าเครื่องเจาะจะถึงช่วงค่ำวันนี้ โดยจะสามารถเริ่มเจาะได้ในวันที่ 29 มิถุนายน และอาจปฏิบัติงานตลอด 24 ชม. อาจใช้เวลา 1 วันหรือ 1 วันครึ่งในการปฏิบัติงาน

ผบ.ตร.สั่งตชด.สำรวจทำฝายกั้นน้ำ

          ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พร้อมผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) และผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เดินทางมายังศูนย์ประสานงานกู้ภัยโดยได้ฟังบรรยายสรุปถึงสถานการณ์และแนวทางการช่วยเหลือสถานภาพกำลังพลและแผนการช่วยเหลือ ก่อนจะเดินทางไปบริเวณปากถ้ำโดย พล.ต.อ.จักรทิพย์เดินเข้าไปดูสภาพพื้นที่ในถ้ำด้วย


 

          พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า สั่งการให้ตำรวจตระเวนชายแดนตรวจสอบว่าสามารถทำฝายกั้นน้ำบริเวณบนดอยผาหมีเพื่อไม่ให้น้ำไหลลงบริเวณถ้ำได้หรือไม่ หากสามารถทำได้ก็จะช่วยกันน้ำไม่ให้เติมเข้าไปในถ้ำ

สหรัฐส่งทีมสนับสนุนค้นหาทีมหมูป่า

          สถานทูตสหรัฐอเมริกา และสถานกงสุลในประเทศไทย ได้ส่งคำแถลงเรื่องความร่วมมือกับทางการไทยที่ถ้ำหลวง ข้อความว่า

          “สหรัฐอเมริกามีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อกรณีที่นักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอนสูญหายเข้าไปภายในถ้ำหลวง ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ตลอดจนครอบครัวและทีมช่วยเหลือผู้สูญหาย กองกำลังสหรัฐอเมริกาภาคพื้นแปซิฟิก (USPACOM) ได้ส่งทีมค้นหาและกู้ภัย เพื่อช่วยตามหาผู้สูญหาย ตามคำขอของรัฐบาลไทย ขณะนี้ ทีมค้นหาและกู้ภัยของสหรัฐเดินทางถึงจังหวัดเชียงรายแล้วและได้นำเอาประสบการณ์รวมทั้งความสามารถด้านการค้นหาและกู้ภัย มาสนับสนุนความพยายามของทางการไทยในการค้นหาผู้ที่ติดอยู่ในถ้ำ เราหวังว่านักฟุตบอลและผู้ฝึกสอนจะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยในเร็ววัน”

ใช้เครื่องสแกนดาวเทียมหาพิกัดเจาะถ้ำ

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองกำลังสหรัฐอเมริกาประจำภาคพื้นแปซิฟิก ได้ส่งเจ้าหน้าที่ 30 นาย ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือค้นหา 13 ชีวิตสูญหายในถ้ำหลวง โดยมีอุปกรณ์เครื่องมือสแกนพิเศษด้วยดาวเทียม มาร่วมประชุมวางแผน คำนวณจุดที่คาดว่าเด็กอยู่แล้วติดตั้งเครื่องสแกนด้วยดาวเทียม ซึ่งผลการสแกนจะออกมาเป็นรูปภายในทั้งหมด หากพบกลุ่มเด็กก็จะออกมาเป็นรูปคนแล้วจะมีการเจาะที่บริเวณจุดนั้นเข้าช่วยเหลือ

ในหลวงพระราชทานเสื้อกันฝน

          นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงคณะทำงานที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยท่ามกลางสายฝน จึงได้พระราชทานเสื้อกันฝนแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน 2,000 ตัว ยังความปลาบปลื้มและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

ทำบัตรจัดระเบียบผู้เข้าพื้นที่หน้าถ้ำ

          เจ้าหน้าที่จากศูนย์ประสานงานช่วยเหลือทีมหมูป่า ประชาสัมพันธ์การจัดระเบียบของผู้ที่มีหน้าที่และผู้ที่จะเข้ามาภายในบริเวณถ้ำหลวง เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายและการรบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ โดยให้ลงทะเบียนผู้ที่มีหน้าที่ โดยแบ่งประเภทบัตรเป็นสีต่างๆ คือ สีฟ้า นักข่าว, สีขาว ญาติ, สีเหลือง ผู้บังคับบัญชา และผู้ปฏิบัติงาน สีชมพู

          หากผู้ใดที่ไม่มีบัตรจะไม่ให้เข้ามาในพื้นที่โดยเด็ดขาด เพื่อกันพื้นที่เอาไว้ให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มความสามาราถ นอกจากนี้ ยังขอความกรุณาผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ให้นำรถมาจอดไว้ที่บริเวณหน้าทางเข้า เนื่องจากมีรถของเจ้าหน้าที่ต้องการที่จอดเป็นจำนวนมาก หากผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในพื้นที่จะทำให้เกิดการกีดขวางการจราจร โดยเจ้าหน้าที่ได้จัดรถจักรยานยนต์รับ-ส่ง ผู้ที่จะเข้ามาภายในบริเวณพื้นที่ทำงาน

“บิ๊กตู่” ลงพื้นที่ให้กำลังใจงดต้อนรับ

          พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะขึ้นเครื่องจากท่าอากาศยานทหารกองบินที่ 6 (บน.6) เวลา 07.00 น. เดินทางไปที่ถ้ำหลวง จ.เชียงราย โดยจะไปให้กำลังใจผู้ปกครองและขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยทั้งไทยและต่างประเทศ

          ทั้งนี้ เน้นย้ำว่าไม่ต้องมีการมาต้อนรับที่สนามบินหรือจัดเตรียมอะไรเป็นพิเศษ ขอให้ทุกหน่วยงานทำงานตามปกติและเป็นไปโดยธรรมชาติ