ปปป.พบเงินทอนวัดลอต 4 โกง30วัด- ธรรมกายปัดอุ้ม"จำนงค์" | คมชัดลึก

          การติดตามจับกุมอดีตพระพรหมเมธี หรือเจ้าคุณจำนงค์ เอี่ยมอินทรา อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งหลบหนีไปลาวก่อนจะเดินทางไปที่ประเทศเยอรมนี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังต้องรอผลการพิจารณาของทางการเยอมนีว่า จะส่งตัวให้ดำเนินคดีหรือไม่ ขณะเดียวกันมีกระแสข่าวว่า อดีตพระพรหมเมธีมีจุดหมายจะไปพำนักที่วัดสาขาของวัดพระธรรมกายในประเทศเยอรมนี

แฟ้มภาพ

          ล่าสุด ทางวัดได้ออกมาปฏิเสธ โดยเผยแพร่แถลงการณ์ปฏิเสธกรณีมีข่าวว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการช่วยเหลืออดีตพระพรหมเมธีหลบหนีออกนอกประเทศและยื่นขอลี้ภัยที่ประเทศเยอรมนี และจะเข้าไปพำนักในวัดสาขาของวัดพระธรรมกายที่ประเทศเยอรมนี โดยมีรายละเอียดดังนี้
          "วัดพระธรรมกาย ปฏิเสธข่าวการคาดการณ์ของสื่อมวลชนบางสำนักกรณีอดีตพระพรหมเมธีจะพำนัก ณ วัดสาขาในประเทศเยอรมนี

          กรณีสื่อมวลชนบางสำนักรายงานข่าวว่า อดีต “พระพรหมเมธี” ขอยื่นลี้ภัยในประเทศเยอรมนี และคาดการณ์ว่า จะพำนักที่สาขาของวัดพระธรรมกายในประเทศเยอรมนี หรือวัดสาขาอื่นในทวีปยุโรปนั้น ทางวัดขอปฏิเสธข่าวดังกล่าว ทั้งนี้เพราะไม่ทราบความเคลื่อนไหวและจุดประสงค์ของอดีตพระพรหมเมธี อีกทั้งไม่ได้มีการติดต่อประสานกันแต่อย่างใดและในขณะนี้ทั้งหน่วยราชการไทยที่รับผิดชอบในคดีและสื่อมวลชนต่างๆ ยังไม่มีโอกาสได้พบตัวท่านแต่อย่างใด ดังนั้นเรื่องราวที่นำเสนอทั้งหมดจึงเป็นเพียงข้อคิดเห็นและการคาดเดาของคนบางกลุ่มเท่านั้น

          ทั้งนี้ในกรณีข่าวของพระสงฆ์ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขอให้สาธารณชนผู้รับฟังข้อมูลโปรดใช้วิจารณญาณ และขอวิงวอนไปยังสื่อมวลชนให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารที่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงซึ่งต้องตระหนักถึงความแตกต่างระหว่าง “ความคิดเห็น” กับ “ความจริง” ตามหลักจรรยาบรรณของสื่อที่พึงมีพึงเป็นอีกด้วย"



 

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เดินทางกลับมาจากประเทศเยอรมนี ได้สั่งการให้ตำรวจ สภ.นครพนม รวบรวมพยานหลักฐานเสนอศาลจังหวัดนครพนม ขอออกหมายจับบุคคลที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือ นำพาอดีตพระพรหมเมธีหลบหนีออกจากประเทศไทย ไปยังประเทศลาว จำนวน 5 คน เป็นคนไทย 3 คน และคนลาว 2 คน ล่าสุด ศาลจังหวัดนครพนมได้พิจารณาอนุมัติหมายจับแล้ว


 

          สำหรับผู้ที่ถูกออกหมายจับ 5 คน ประกอบไปด้วย นางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล อายุ 54 ปี สีกาคนสนิท นายพีรวิช ศรีศรัทธา อายุ 28 ปี เป็นคนที่คอยให้การช่วยเหลือ ส่วนอีก 3 คน เป็นชาวลาว ที่มีส่วนช่วยเหลือในการพาหลบหนี คือ นางจันทนา หรือจันตนา รัตนวงศ์ และลูกสาว-ลูกชายของนางจันทนา ที่เป็นคนขับรถไปเก็บไว้ที่วัดป่าสุคนธรักษ์ อ.เรณู จ.นครพนม ซึ่งทั้ง 3 คนนี้อยู่ระหว่างการหลบหนี ตำรวจจะได้เร่งประสานงานติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189 ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุก 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

          ทั้งนี้ พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ระบุว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับบังคับบัญชาระดับสูง พล.ต.อ.จักรทิพย์จะสั่งการ ส่วนตำรวจในพื้นที่พร้อมที่จะดำเนินการทุกขั้นตอนตามกฎหมาย แต่ไม่สามารถให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลเชิงลึกได้ จะต้องรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเท่านั้น เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อการทำงานของตำรวจ
          รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับ นางศศิร์อร หรือ สีกาจุ๋ม หนึ่งในผู้ที่ถูกออกหมายจับฐานให้การสนับสนุนช่วยเหลือ นำพา อดีตพระพรหมเมธี หลบหนีออกจากประเทศไทย ไปยังประเทศลาว เดินทางออกจากประเทศไทยไปยังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา


แฟ้มภาพ
 

          ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเอาผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ที่รับผิดชอบหน้าที่ดูแลตรวจสอบบุคคลเข้าออก บริเวณด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทยลาว แห่งที่ 3 นครพนม–คำม่วน เนื่องจากมีการตรวจสอบข้อมูลพบว่า อดีตพระพรหมเมธี ได้หลบหนีออกทางด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 3 นครพนม-คำม่วน ในช่วงเวลาประมาณ 21.30 น. วันที่ 24 มิถุนายน โดยมี นางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล อายุ 54 ปี สีกาคนสนิทให้การดูแลช่วยเหลือ ใช้พาสปอร์ตขออนุญาตนั่งรถยนต์ส่วนตัวเดินทางข้ามแดนอย่างถูกต้อง ไม่ได้มีการหลบหนีผ่านช่องทางธรรมชาติ ถือว่าเป็นการละเลยบกพร่องต่อหน้าที่ เบื้องต้นทาง ผบ.ตร.ได้สั่งต้นสังกัดสอบสวนเอาผิดตำรวจตรวจคนเข้าเมืองแล้ว 2 นาย เป็นตำแหน่งระดับสารวัตร 1 นาย และระดับรองสารวัตร อีก 1 นาย ส่วนเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จะมีการสอบสวนเอาผิดอีกหากพบว่ามีใครเกี่ยวข้องโดยไม่มีละเว้น

แฟ้มภาพ

 

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ เดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 6 มิถุนายน ที่ผ่านมา และออกจากสนามบินสุวรรณภูมิทางช่องทางพิเศษ โดยไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ กับสื่อมวลชน

          ขณะที่ในวันนี้ (7 มิ.ย.) เวลา 11.00 น. มีการแจ้งว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์จะเดินทางไปร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาในคดียาเสพติด ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) แต่ก็ไม่ได้ไปร่วมแถลงข่าวแต่อย่างใด

          อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์เดินทางไปร่วมประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562

          ต่อมาเวลา 18.00 น. ภายหลังปิดการประชุมดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้รอดักสอบถาม พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวสั้นๆ ว่า “ไม่มีอะไร อากาศดี ไปเยอรมัน ไม่ได้เดินทางไปพบท่าน” จากนั้นรีบขึ้นรถโดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ต่อ

 

          เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 7 มิถุนายน ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. เปิดเผยถึง การตรวจสอบข้อเท็จจริงการทุจริตเงินงบประมาณอุดหนุนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) หรือเงินทอนวัด ลอต 4 ว่า ผู้กำกับการทั้ง 6 กองกำกับการ ของ ปปป. พร้อมชุดปฏิบัติการ อยู่ระหว่างลงพื้นที่ตรวจสอบการอนุมัติงบประมาณจาก พศ. มายังวัดทั่วประเทศ ที่ยังไม่ได้มีการตรวจสอบในลอต 1, 2 และ 3 โดยเน้นตรวจสอบวัดที่ได้รับงบประมาณเกิน 1 ล้านบาท หากได้ข้อเท็จจริงที่มีความชัดเจนมากขึ้น จะประสานงานไปยัง พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. ให้มาแจ้งความร้องทุกข์ ซึ่ง ทาง ปปป. กับ พศ. มีนัดหมายการประชุมวางแนวทางการดำเนินคดีการทุจริตเงินทอนวัดเป็นประจำทุกเดือน

          รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะที่การประชุมคณะพนักงานสอบสวน ปปป. ที่รับผิดชอบดูแลสำนวนทุจริตเงินทอนวัด พบความเชื่อมโยงของขบวนการทุจริตที่ขยายเกี่ยวข้องไปยังหลายวัด ทำให้มีการเพิ่มเป้าหมายในการตรวจสอบกว่า 100 วัด และพบว่ามีการทุจริตงบประมาณในรูปแบบเงินทอนวัดแล้ว เพิ่มเติมประมาณ 30 วัด ส่วนใหญ่เป็นวัดในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคกลาง เป็นผู้ต้องหากลุ่มเดิมที่กระทำความผิด ส่วนในพื้นที่ภาคใต้พบการกระทำความผิดไม่มากนัก แต่พบเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรายใหม่ ที่ร่วมทุจริตเงินทอนวัดในลอต 4 ด้วย รวมถึงวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ที่ตำรวจกองปราบปรามอยู่ระหว่างการติดตามตัวอดีตพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ที่อยู่ระหว่างหลบหนี ทั้งนี้ พบความผิดปกติงบประมาณเพิ่มเติม ในส่วนของงบประมาณบูรณปฏิสังขรณ์ จากเดิมที่พบว่ามีการทุจริตงบประมาณโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม จนนำมาสู่การออกหมายจับในคดีฟอกเงิน



 

          ข่าวแจ้งด้วยว่า รูปแบบการทุจริตเงินทอนวัดในลอต 4 คล้ายกับการทุจริตในลอต 1, 2 และ 3 คือมีเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และพระชั้นผู้ใหญ่เป็นศูนย์กลางในการทุจริต กระจายงบประมาณ ขอนำเงินผ่านบัญชีแต่ละวัด จากนั้นเรียกเงินทอนคืน แต่การทุจริตในลอตที่ 4 มีรูปแบบพิเศษขึ้น คือ ปปป.พบความผิดส่วนตัวของพระบางรูปชัดเจน ที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

          ส่วนพระครูกิตติพัชรคุณ เจ้าอาวาสวัดลาดแค เจ้าคณะอำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาเงินทอนวัดลอต 1 นั้น ตรวจสอบเพิ่มเติมว่าพบการกระทำความผิดในรูปแบบเดียวกัน กับการตรวจพบการทุจริตเงินทอนวัดลอต 4 ของ ปปป. คือการติดต่อวัดภาคเหนือตอนล่าง เพื่อขอนำเงินผ่านบัญชีกว่า 10 วัด จากนั้นนำเงินทั้งหมดโอนกลับมาบัญชีตนเอง

          ขณะที่การตีสำนวนการทุจริตเงินทอนวัดลอต 3 ชุดแรก ของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสามพระยา และวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ที่ ป.ป.ช.ตีสำนวนกลับมาให้ ปปป.ดำเนินคดีต่อนั้น จะเข้าสู่กระบวนการสอบสวนเพิ่มเติม การออกหมายเรียกแจ้งข้อกล่าวหา โดย ปปป.เตรียมขออายัดตัวพระ 4 รูป ที่ถูกคุมขังจากคดีฟอกเงินของกองปราบปราม ประกอบด้วย อดีตพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ อดีตพระราชอุปเสนาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ อดีตพระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ และอดีตพระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา ส่วนอดีตพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ที่อยู่ระหว่างหลบหนีตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีเงินทอนวัดลอต 3 ชุดแรกเช่นกัน