
ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งนั้น "ยาก" - "บวรศักดิ์" ไขปม "ติดตอ"
ปฏิรูป ก่อนเลือกตั้งนั้น "ยาก"- "บวรศักดิ์ อุวรรณโณ" ไขปม "ติดตอ" โดย ขนิษฐา เทพจร
"แม้จะมีความหวังว่าตลอดเวลาการทำงานตามวาระ 5 ปี แผนงานปฏิรูปประเทศจะถูกขับเคลื่อนไปในทิศทางที่แก้ปัญหาได้ และทำให้ประเทศเดินหน้า แต่การปฏิรูปหลังเลือกตั้ง อาจารย์บวรศักดิ์ก็ยังหวั่นเกรงว่าจะเกิดความชุลมุนขึ้น"
ช่วงบ่ายปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “อาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ฐานะประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย และกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจ ของคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความก้าวหน้าต่องานด้านปฏิรูป โดยเฉพาะด้านกฎหมาย พร้อมสะท้อนถึงโรดแม็พปฏิรูปประเทศที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะ “สำเร็จ” ก่อนการเลือกตั้งปี 2562 ว่าอาจจะเป็นเรื่องยาก!
สำหรับงานปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย หลักการสำคัญที่ถูกกำหนดไว้เป็น “แผนปฏิบัติการ” คือ ต้องทบทวนและยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการพัฒนาหรือการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจ–การค้า, ผลักดันกฎหมายที่มีความสำคัญ ประชาชนเรียกร้อง และให้กฎหมายเป็นมาตรฐานที่ยกระดับคุณภาพของผู้ด้อยโอกาสในสังคม อย่าง กฎหมายป่าชุมชนที่ส่งเสริมให้ประชาชนอยู่ร่วมกับผืนป่าในฐานะผู้หากินอยู่กับป่า และผู้พิทักษ์ ต่อด้วยร่างกฎหมายว่าด้วยวิสาหกิจชุมชน เพื่อจัดตั้งบริษัทที่แสวงหากำไร มาแบ่งปันให้สังคมและผู้ด้อยโอกาส
แต่ใน 2 แผนปฏิบัติการแรกนั้น “อาจารย์บวรศักดิ์” ยอมรับว่ามีความขลุกขลักพอสมควร โดยเฉพาะการยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัยที่หน่วยงานผู้รักษากติกายังไม่ไฟเขียว
“กฎหมายบางตัวอย่างพ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ.2493 ที่กำหนดให้ผู้จะโฆษณาผ่านเครื่องขยายเสียงไฟฟ้าต้องได้รับอนุญญาตจากเจ้าหน้าที่ก่อน และกำหนดให้ต้องพูดเป็นภาษาไทยเท่านั้น ทำให้ใครที่พูดผ่านเครื่องขยายเสียง รวมถึงสื่อมวลชนก็อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายด้วย เราเสนอให้ยกเลิก แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ควรยกเลิกเพราะจะเอาไว้จับผู้ที่ใช้เครื่องขยายเสียงก่อความรำคาญ ในกรณีที่ข้อหาอื่นไม่สามารถจับหรือดำเนินคดีได้”
ซึ่งการทำงานที่เจออุปสรรคจากหน่วงยงานราชการและเจ้าหน้าที่รัฐนั้น “ประธานปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย” ออกปากยอมรับว่า “เหนื่อย” เพราะเจอระบบรัฐที่คิดถึงการรักษาฐานอำนาจไว้มากกว่าการเรื่องใด
ดังนั้นทางแก้ไขที่ “อาจารย์บวรศักดิ์” คิดไว้เป็นเบื้องต้น คือใช้มาตรการทางกฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญให้สิทธิ คือ การประเมินผลกระทบ ผลสัมฤทธิ์ทางกฎหมายที่บังคับใช้ตามมาตรา 77 ซึ่งคณะปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายเตรียมยกร่างกฎหมายว่าด้วยการประเมินผลสัมฤทธิ์ วิเคราะห์ผลกระทบทางกฎหมาย ซึ่งจะมีเนื้อหาเชิงประจักษ์ที่สอดคล้องกับการต้องรับฟังความเห็นของประชาชนก่อนออกกฎหมายด้วย
อย่างไรก็ดีตลอดการทำงาน 9 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่การแต่งตั้ง เมื่อ วันที่ 15 สิงหาคม 2560 “ประธานปฏิรูปด้านกฎหมาย” เห็นความลำบากต่อการผลักดันแผนปฏิรูปประเทศที่ต้องใช้เงื่อนไขทางกฎหมาย เป็นมาตรฐานและแผนปฏิบัติการเชิงประจักษ์ ด้วยรูปแบบที่ให้ “หน่วยงานที่เป็นฝ่ายถูกปฏิรูป” ต้องเสนอแผนหรือเสนอกฎหมายเพื่อปฏิรูปตัวเอง ทำให้แผนปฏิรูปประเทศ ที่ทำมาตั้งแต่ชั้นสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.), สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ต่อเนื่องถึงคณะกรรมการระดับชาติถูกขับเคลื่อนไปได้ลำบาก
“ผมไม่ค่อยเห็นด้วยที่เราจะทำเรื่องปฏิรูปแล้วให้หน่วยงานที่ถูกปฏิรูปเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจว่าจะเอาหรือไม่เอากับแผนานปฏิรูปนั้น แต่ไม่ใช่ว่าไม่ให้เขามีส่วนร่วมเลยนะ คือ มีส่วนร่วมได้ในระดับให้ความเห็นเพื่อนำไปสู่การปรับปรุง ซึ่งสิ่งที่เป็นไปแบบนี้ ผมก็ยังนึกไม่ออกว่า หากจะทำปฏิรูปให้สำเร็จได้ ต้องใช้เวลายาวนานแค่ไหน”
และแม้ในกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการปฏิรูปจะกำหนดบทลงโทษ “หน่วยราชการ” ที่เกียร์ว่างต่องานปฏิรูป ผ่านการรายงานไปยังรัฐมนตรี หากอธิบดีหรือหัวหน้าหน่วยงานไม่ยอมปฏิบัติ และหากรัฐมนตรีเห็นด้วยกับลูกน้อง ไม่ยอมทำอะไร ก็ให้คณะปฏิรูปไปบอก กรรมการยุทธศาสตร์ แต่ผลเชิงประจักษ์นั้นอาจไม่เกิดขึ้น
ดังนั้นในแนวทางแก้ปัญหาหนึ่ง “อาจารย์บวรศักดิ์” บอกกับสื่อมวลชนว่าอาจต้องเสนอเพิ่มกฎหมายใหม่อีกฉบับหรือแก้ไขกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการปฏิรูป ที่ให้อำนาจ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นคณะปฏิรูประดับชาติ มีอำนาจเสนอกฎหมายปฏิรูปได้ด้วยตัวเอง ตามอำนาจมาตรา 270 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ
เพื่อเป็นความหวังว่าแผนปฏิรูปประเทศที่ต้องอาศัยกฎหมายขับเคลื่อนจะมีขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยทิ้งปล่อยขว้าง หรือ แม้จะเขียนเป็นร่างกฎหมาย เสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาแล้วกลับถูกเก็บขึ้นหิ้ง เหมือนกับร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม
กับอีกความหวังคือ การปฏิรูปให้สำเร็จก่อนการเลือกตั้งที่ถูกเกริ่นหัวว่าเป็น “งานยาก”!! นั้น โดยเนื้อความ “อาจารย์บวรศักดิ์” บอกว่า การปฏิรูปที่ตั้งต้นมาถึงตอนนี้ 4 ปี ยอมรับว่าบางเรื่อง ยังไม่ถึงเวลาเหมาะสมที่จะทำ
“อย่างที่ใครพูดถึงการปฏิรูปตำรวจ ปีแรกๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาควมสงบแห่งชาติ (คสช.) บอกว่าอย่าเพิ่ง เพราะยังใช้เขาอยู่ แต่จากนั้นก็เริ่มตั้งคณะทำงานปฏิรูปตำรวจ ที่มีพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน มาทำงาน แต่เหมือนกับว่ายังไม่ใช่แผนปฏิรูป จึงได้ตั้งคณะทำงานที่มี อาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานขึ้นมาทำ ซึ่งผมหวังว่าในตอนท้าย นายกฯ จะเอาจริง”
ซึ่งตอนนี้ในหลายประเด็น “รัฐบาล” พยายามเร่งรัดงานปฏิรูปในหลายประเด็น คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศที่มี “กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ” เป็นแม่ทัพพร้อมกับประคองหางเสือเรือปฏิรูป 11 ด้าน
แต่หากงานปฏิรูปไม่เสร็จสิ้นภายในรัฐบาล “คสช.” จะเกิดคำถามใหญ่ในสังคมและผลกระทบต่อการเมืองหรือไม่นั้น “อาจารย์บวรศักดิ์” ปฏิเสธที่จะตอบตรงๆ บอกแค่ว่า รัฐบาลเห็นภาพแล้ว นายกฯ จึงพูดเร่ง
ส่วนประเด็นนี้จะเกี่ยวกับการขับเคี่ยวทาการเมืองเพื่อชิงคะแนนนิยมหรือไม่ “คนวงในรัฐบาล” ตอบเพียงแค่ว่า “คงจะมีส่วน และคงจะใช้เป็นสิ่งที่พูดได้ว่าลงมือทำแล้ว”
กับภาพฉายของอนาคตที่หากมีการเลือกตั้งแล้วการสานต่องานปฏิรูปจะเป็นอย่างไร “อาจารย์บวรศักดิ์” ตอบตามฐานของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นว่า หากรัฐบาลชุดปัจจุบันกลับมาอีกรอบหลังเลือกตั้ง การปฏิรูปอาจจะสมใจ และเดินหน้าราบรื่น แต่หากรัฐบาลชุดหน้าเป็นการเมืองขั้วตรงข้ามรัฐบาล ปฏิรูปอาจจะไปได้ แต่เป็นไปสภาพดูไม่จืด
“คิดเล่นๆ หากธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่) เป็นนายกฯ อาจจะขัดแย้งบวกกับสมาชิกรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง 500 คน และส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งโดยคสช. 250 คน ที่มีบทบาทประเมินและติดตามงานปฏิรูป ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ดังนั้นคิดดูสภาพว่าจะมีความชุลมุนหรือขัดแย้งกันแค่ไหน”
แต่ท้ายสุด “ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย” ยังมีความหวังว่า ตลอดเวลาการทำงานตามวาระ 5 ปี แผนงานปฏิรูปประเทศจะถูกขับเคลื่อนไปในทิศทางที่แก้ปัญหาได้ และทำให้ประเทศเดินหน้า