ข่าว

ลำดับอาชญากรรมฆ่าหั่นศพ'ไทย'

ลำดับอาชญากรรมฆ่าหั่นศพ'ไทย'

13 ต.ค. 2552

เช้าวันที่ 12 ตุลาคม คนในสังคมไทยตื่นขึ้นมารับรู้กับข่าวเศร้าสะเทือนขวัญอย่างรุนแรง เมื่อเด็กชายวัย 4-5 ขวบ ตกเป็นเหยื่อฆ่าหั่นศพสยดสยอง ก่อนตายยังถูกยิงกรอกปากอย่างทารุณ ซึ่งในชั้นนี้ตำรวจ กก.สส.น.7 และ สน.ตลิ่งชัน ท้องที่เกิดเหตุอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเด

สังคมไทยรับรู้เรื่องอาชญากรรมฆ่าหั่นศพในบริบทของแก๊งมาเฟียต่างชาติ เช่น แก๊งลูกหมู ลูกแพะ ที่เข้ามาอาศัยประเทศไทยเป็นช่องทางทำมาหากินอย่างผิดกฎหมาย เมื่อเกิดการหักหลังขึ้นก็มักจะลงมือสังหารเหยื่อแล้วจัดการชำแหละชิ้นส่วน แยกไปทิ้งตามสถานที่ต่างๆ โดยมีลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์คือการทำลายลายนิ้วมือ เพื่อป้องกันการตรวจสอบว่าเหยื่อเป็นใคร มาจากไหน แล้วสาวไปถึงตัวฆาตกร

 สำหรับสังคมไทยและเหยื่อที่เป็นคนไทยหรือแม้แต่ฆาตกรฆ่าหั่นศพที่เป็นคนไทย และเป็นคดีโด่งดังไปทั่วเห็นจะหนีไม่พ้น "เสริม สาครราษฎร์" ต้นตำรับจอมชำแหละของไทย ทั้งนี้เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2541 เสริมซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ วชิระพยาบาล ได้ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ "เจนจิรา พลอยองุ่นศรี" แฟนสาวซึ่งเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ชั้นปีที่ 5 มหาวิทยาลัยมหิดล ทิ้งเศษเนื้อและเส้นผมลงชักโครก ท้ายที่สุดก็ถูกตำรวจจับกุมได้ในที่สุด ปัจจุบันเสริมถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต

 รายต่อมาที่สร้างความสะเทือนเลื่อนลั่นไม่แพ้กันคือ นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ อดีตสูตินรีแพทย์ รพ.จุฬาลงกรณ์ ฆ่าหั่นศพ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ อดีตสูตินรีแพทย์ รพ.บุรฉัตรไชยากร หรือโรงพยาบาลรถไฟ ภรรยาตัวเอง เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2544 หลังจากมีปัญหาครอบครัว โดยหมอวิสุทธิ์ได้นัดภรรยาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ก่อนจะวางยานอนหลับแล้วพาไปเข้าพักที่อาคารวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รร.เซ็นทรัลโซฟิเทล ลาดพร้าว

 ภายหลังการหายตัวไปของหมอผัสพร สามีได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สน.ปทุมวัน เมื่อตำรวจสืบสวนลึกลงไปจึงพบพยานหลักฐานหลายอย่างพุ่งไปที่ตัวหมอวิสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นหาชิ้นเนื้อในบ่อเกรอะของที่พักทั้งสองแห่งข้างต้น พบชิ้นเนื้อที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นของหมอผัสพรจริง หลงเหลืออยู่เพียงแค่ร้อยละ 25 พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและซ่อนเร้นอำพรางศพ ศาลพิพากษาประหารชีวิตทั้ง 3 ศาล

 ระหว่างนี้สังคมไทยและคนไทยได้เผชิญกับความเป็นไปหลากหลาย โดยเฉพาะคดีฆาตกรรมและพยายามทำลายศพอำพราง แต่ก็ถือว่ายังไม่เข้าขั้นการฆ่าหั่นศพอย่างเบ็ดเสร็จ บางคดีมีความพยายามชำแหละ แต่ก็ทำได้เพียงแขนบ้างขาบ้างหรือไม่ก็ศีรษะ กระทั่งรายล่าสุด "ณัฐ ฉายานนท์" นักศึกษา ปวช.ปี 3 โรงเรียนพณิชยการย่านพิบูลสงคราม จ.นนทบุรี ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ "ฐิติรัตน์ สมหมาย" ผู้จัดการบริษัทผู้ผลิตยาวัย 37 ปี

 19 กันยายน 2552 หลังจากทั้งสองติดต่อพูดคุยผ่านโปรแกรมแคมฟรอกได้นาน 3-4 เดือน จึงนัดพบกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งบนห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางแค ก่อนจะชักชวนกันไปต่อที่โรงแรม แต่กลับไปจบลงที่ห้องพักของณัฐ โดยฝ่ายฐิติรัตน์ขอมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ทำให้อีกฝ่ายโกรธจัดถึงขั้นลงมือชกต่อยและพลั้งมือบีบคอจนตายคามือ จากนั้นณัฐได้ไปซื้อมีดหั่นเนื้อ ถุงดำ และถังน้ำขนาดใหญ่มาใช้บรรจุเศษชิ้นส่วนที่เขาลงมือชำแหละเอง แล้วหลบไปอยู่บ้านแม่ ก่อนจะมาถูกตำรวจติดตามจับกุมได้ในที่สุด

 ในวัย 20 ปี ณัฐอาจจะเป็นฆาตกรฆ่าหั่นศพคนไทยอายุน้อยที่สุดก็เป็นได้ แต่สำหรับคดีที่เกิดขึ้นกับเด็กน้อยวัย 4-5 ขวบ ย่านตลิ่งชัน ก็นับเป็นเหยื่ออายุน้อยที่สุดที่พบเช่นกัน แสดงถึงความโหดเหี้ยมทารุณไร้ความปรานีของฆาตกรได้เป็นอย่างดี

 พ.ต.อ.พรชัย สุธีคุณ รองผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ มองพฤติกรรมของฆาตกรฆ่าหั่นศพไว้ 2 กรณี คือ อาฆาตแค้นและอำพรางคดี ทั้งนี้ฆาตกรที่อาฆาตแค้นมากจะหั่นแค่อวัยวะบางส่วน เช่น อวัยวะเพศ หัวนม ฯลฯ ส่วนการฆ่าอำพรางคดีจะหั่นแยก สับชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งง่ายต่อการเคลื่อนย้ายศพไปทั้งตัว ซึ่งกรณีหลังจะพบมากกว่าการฆ่าหั่นศพด้วยความอาฆาตแค้น แต่บางทีฆาตกรก็ทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน อย่างไรก็ตามฆาตกรที่มีพฤติกรรมฆ่าหั่นศพ ส่วนใหญ่จะมีประสบการณ์ในการแยกชิ้นส่วน เช่น หมอผ่าตัด หรือมีอาชีพชำแหละมาก่อน เป็นต้น

 สำหรับเหตุผลที่ดลใจให้คนร้ายต้องฆ่าหั่นศพนั้น พ.ต.อ.พรชัย บอกว่า แต่ละคดีจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับฆาตกรอยู่ในสภาวะแบบไหน คิดอะไรออกได้ก็จะทำ อาจจะเป็นสิ่งที่เคยเห็นจากวิดีโอเกม ภาพยนตร์ และคิดว่าพอจะทำได้ก็จะเลียนแบบ ซึ่งพฤติกรรมเลียนแบบจากสื่อเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก

 ส่วนกรณีเด็กเหยื่อฆ่าหั่นศพนั้น พ.ต.อ.พรชัย มองว่า คนที่ทำร้ายเด็กเช่นนี้น่าจะเข้าข่ายทารุณกรรมเด็ก ส่วนคนที่ลงมือคงไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่อาจเป็นเครือญาติหรือไม่ก็คนใกล้ชิดตัวเด็กเอง เพราะเด็กคงไม่ได้ทำให้เกิดแรงอาฆาตเหมือนคดีฆ่าหั่นศพทั่วๆ ไป