ข่าว

4ปี ไร้วี่แว่ว "บิลลี่ พอละจี"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"แอมเนสตี้" จี้ ไทย เร่งสอบสวน "บิลลี่ พอละจี"หาย เยียวยา ครอบครัว เร่งรัด แก้ พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายสอดคล้องกับพันธกรณี

 

          18 เม.ย.2561 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์ เรียกร้องทางการไทยสอบสวนการหายตัวไปของ "บิลลี่" พอละจี รักจงเจริญ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ ครบ 4 ปี หลังถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยาน เนื่องจาก “การมีไว้ในครอบครองซึ่งน้ำผึ้งป่าอย่างผิดกฎหมาย” แต่ได้ปล่อยตัวไปในวันนเดียวกัน อย่างไรก็ตาม มีพยานหลักฐานซึ่งสนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่า บิลลี่ตกเป็นเหยื่อการบังคับบุคคลให้สูญหายและการสูญหายโดยไม่สมัครใจ ซึ่งนับเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง และเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

         

4ปี ไร้วี่แว่ว "บิลลี่ พอละจี"

          แอมเนสตี้ จึงเรียกร้องอีกครั้งให้ทางการไทยทำการสอบสวนการหายตัวไปของบิลลี่อย่างเป็นอิสระ เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และเยียวยาครอบครัวของเขาและผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ รวมทั้งนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และถึงเวลาแล้วที่ทางการไทยต้องกำหนดให้มีกรอบและสถาบันทางกฏหมาย เพื่อป้องกันและส่งเสริมการเยียวยากรณีการสูญหายโดยไม่สมัครใจและการบังคับบุคคลให้สูญหาย และยอมรับสิทธิของผู้เสียหาย รวมทั้งครอบครัวของผู้สูญหายและบุคคลหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการสูญหาย ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้ว การสูญหายของบุคคลเป็นการละเมิดที่ต่อเนื่องและเป็นสาเหตุของความทุกข์อย่างยิ่ง

 

 

          ที่ผ่านมาแอมเนสตี้พบว่า ครอบครัวของบิลลี่ต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ตั้งแต่ความล้มเหลวในการสอบสวนเพื่อหาตัวบิลลี่ ไปจนถึงความล่าช้าในการผ่านร่างกฎหมายเพื่อเอาผิดกับผู้กระทำการบังคับบุคคลให้สูญหาย ทางการยังแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขดังกล่าว กลับลดหย่อนมาตรการคุ้มครองเพื่อป้องกันการสูญหายของบุคคล และลดทอนมาตรการป้องกันทางกฎหมายที่สำคัญไม่ให้เกิดการละเมิดเช่นนั้นขึ้น

4ปี ไร้วี่แว่ว "บิลลี่ พอละจี"

          แอมเนสตี้ จึงเรียกร้องทางการไทยเร่งรัดการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายให้สอดคล้องกับพันธกรณีตามกฎหมายของประเทศไทย รวมทั้งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลสูญหาย (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance) และให้ผ่านเป็นกฎหมายโดยเร็ว นอกจากนี้ ประเทศไทยควรปฏิบัติตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อเดือนมีนาคม 2560 เพื่อให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามรับรองอนุสัญญาไปก่อนหน้านี้แล้ว

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ