ข่าว

ให้ออกราชการ"ผอ.สามเสน"หลังชี้มูลความผิด

ให้ออกราชการ"ผอ.สามเสน"หลังชี้มูลความผิด

03 เม.ย. 2561

ศธ.สั่ง "ผอ.สามเสน"ออกจากราชการไว้ก่อน หลังกก.สอบชี้มูลผิดชัดเจนปม"แป๊ะเจี๊ยะ" ป.ป.ท.ตรวจพบ 53 จว.โกงเงินคนจนกว่า 107 ล้าน เร่งรวบหลักฐานขรก.ระดับสูงเอี่ยว

     เมื่อวันที่ 2 เมษายน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นายวิโรฒ สำรวล ผอ.โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยวิทยาลัย กรณีเรียกรับเงินเพื่อรับเด็กเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2560 ว่า ขณะนี้ประธานคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงได้รายงานผลสรุปทางวาจาอย่างไม่เป็นทางการให้ พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษา รมว.ศธ.ได้รับทราบว่า ผลสอบนายวิโรฒ มีความผิดอย่างชัดเจน

     แต่ผลสรุปความผิดอยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดทำเอกสาร เพื่อเสนอมาให้ตนเป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้นในกรณีถือเป็นความผิดชัดเจนและโดนสอบวินัยร้ายแรง โดยนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) หัวหน้าส่วนราชการของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ในฐานะที่เป็นต้นสังกัดของนายวิโรฒ จึงขอให้ สพฐ.ได้พิจารณาใช้แนวทางการปฎิบัติตามหนังสือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เรื่องมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ ให้นายวิโรฒออกจากราชการไว้ก่อน 

     ส่วนในขั้นตอนการพิจารณาโทษทางวินัยของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.) กรุงเทพมหานคร ก็ยังคงดำเนินไปตามกระบวนการ ซึ่งโทษวินัยร้ายแรงมีอยู่ 2 กรณี คือ ไล่ออกกับปลดออกเท่านั้น

ให้ออกราชการ\"ผอ.สามเสน\"หลังชี้มูลความผิด

     ผู้สื่อข่าวถามว่าผู้ปกครองที่มีการจ่ายเงินเพื่อแลกที่นั่งเรียนจะถือว่ามีความผิดฐานติดสินบนด้วยหรือไม่ เพราะสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาตรวจสอบเส้นทางการเงินในการรับนักเรียนและระบุว่า การบริจาคเงินหรือแป๊ะเจี๊ยะถือว่ามีความผิดเพราะเป็นการติดสินบน นพ.ธีระเกียรติ กล่าวว่า ยังไม่ทราบในข้อกฎหมายดังกล่าวจะมีผลย้อนหลังด้วยหรือไม่แต่หากเป็นการรับนักเรียนในปีการศึกษานี้ผู้ปกครองมีความผิดอย่างแน่นอน

     ด้านนายบุญรักษ์ กล่าวว่า สำหรับกรณีของนายวิโรฒ หากประธานสอบวินัยฯส่งผลสรุปข้อมูลอย่างเป็นทางการมาถึงตนในฐานะ สพฐ.เป็นหน่วยงานต้นสังกัดนายวิโรฒ ก็จะดำเนินการตามมาตรการของ คสช. คือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ระหว่างรอผลสรุปโทษวินัยอย่างเป็นทางการจาก กศจ. เพราะเรื่องนี้เป็นที่สนใจของสังคม

     นอกจากนี้ นพ.ธีระเกียรติ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้นในกระทรวงศึกษาธิการ ว่า การดำเนินการตรวจสอบทุจริตทุกเรื่องจะดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการปราบปรามและป้องปรามการทุจริตของคสช.เพื่อช่วยให้การดำเนินการได้เร็วโดยความคืบหน้าการตรวจสอบการทุจริตกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต มีเงินสูญหายกว่า 118 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปเบื้องต้นก่อนสงกรานต์นี้ และคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนไม่เกินสิ้นเดือนนี้ทุกอย่างตามกรอบเวลาให้สืบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน สำหรับเรื่องนี้ นอกจากนางรจนา สินที อดีตนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ สำนักกิจการการศึกษาซึ่งถูกไล่ออกจากราชการแล้ว มีใครที่เกี่ยวข้องบ้างนั้น ขณะนี้การสืบสวนยังสาวลงไปไม่ถึงและยังไม่พบหลักฐานเชื่อมโยงโดยในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอีกประมาณ 4 ราย หากพบว่ามีมูลก็จะต้องถูกย้ายออกจากตำแหน่งก่อน ขั้นตอนนี้ต้องรอผลการสืบสวนเพื่อให้ความเป็นธรรม 

     อย่างไรก็ตามข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานกองทุนเสมาฯทั้งการเบิกจ่ายเงินและกองคลัง แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับการโกง แต่ปล่อยให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นถือว่ามีความหละหลวม จะต้องถูกลงโทษทางวินัย ส่วนจะเป็นวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรง ต้องรอข้อสรุปของคณะกรรมการสืบสวนฯต่อไป

     นายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เชิญข้าราชการที่ยังรับราชการอยู่มาให้ข้อมูลแล้ว โดยวันที่ 5 เมษายนจะเชิญผู้เกี่ยวข้องซึ่งพ้นจากราชการมาให้ข้อมูลรวมถึงนางรจนาด้วย ส่วนผู้บริหารระดับสูง อดีตปลัดกระทรวงและรองปลัดที่เกี่ยวข้อง ขอให้ชี้แจงมาเป็นลายลักษณ์อักษร ภายในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งบางคนชี้แจงมาแล้ว ทั้งนี้คณะกรรมการสืบสวนฯพบประเด็นความผิดปกติเพิ่มเติม ในปี 2447 และความผิดปกติเริ่มชัดในปี 2548 เพราะมีการโอนเงินเข้าบัญชีของนางรจนา รวมถึงมีการโอนให้กับผู้ที่มียศนำหน้า “ร.ต.ต.” และมีคำนำหน้าว่า “นาง” มีการโอนเงินให้วัดเพื่อรับทุน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ โดยปี 2548 พบว่ามียอดการทุจริตอย่างไม่เป็นทางการถึง 2,915,000 บาท

     ทั้งนี้ภาพรวมทางบัญชีที่ถูกโกง ตั้งแต่ปี 2548-2561 พบว่ามีการทุจริตรวม 110,343,2 27 บาท ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบพยานวัตถุและขณะนี้นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาฯได้ตั้งผู้อำนวยการสำนักงานกิจการศึกษาพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเข้ามาเป็นกรรมการสืบสวนฯเพิ่มโดยได้เข้าไปนำทรัพย์สินทั้งหมดในห้องทำงานของนางรจนาไปตรวจสอบว่ามีอะไรเชื่อมโยงอย่างไรบ้างและเตรียมจะขอข้อมูลจากทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เพื่อประกอบการวินิจฉัย ทั้งนี้ยังไม่ขอเปิดเผยข้อมูลที่สอบสวนข้าราชการที่เกี่ยวข้องเพราะไม่ต้องการให้เสียรูปคดี

     ส่วนการตรวจสอบการดำเนินงานโครงข่าย MOENet นพ.ธีระเกียรติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงจะสรุปผลสืบเบื้องต้นภายในวันที่ 4 เมษายน จากนั้นจะตั้งกรรมการสอบสวนวินัยผู้ที่เกี่ยวข้องคาดว่าไม่เกินสิ้นเดือนจะได้ข้อสรุป ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2553 กระทรวงการคลังกำหนดให้อินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคที่จะต้องมีการแข่งขันอย่างเสรี ดังนั้นต้องตรวจสอบว่าการเช่าสัญญาณมีการแข่งขันอย่างเสรีหรือไม่และใครเป็นผู้ดำเนินการขอสัญญาณซึ่งโดยหลักการแล้วโรงเรียนควรจะต้องเป็นผู้ดำเนินการเอง ซึ่งถ้าไม่ดำเนินการก็ถือว่ามีความผิดทางวินัย

     ขณะที่ความคืบหน้าการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลาหรืออควาเรียมที่วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ อ.เมือง จ.สงขลา ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) พบความผิดปกติใหญ่ๆ 2 อย่างคือ โครงการนี้ควรจะดำเนินการแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2553 แต่ไม่เสร็จและในปี 2557 มีการต่อสัญญาเรื่อยๆ รวมถึงมีการแก้ไขสัญญาถึง 6 ครั้ง มีการเบิกเงินล่วงหน้า โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มี นายการุณ เป็นประธาน ได้ลงพื้นที่ โดยทางคณะกรรมการตรวจสอบฯ ยืนยันว่าจะสรุปข้อมูลได้ไม่เกินสัปดาห์นี้ จากนั้นจะตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงต่อไป คาดว่าไม่เกินสิ้นเดือนนี้จะได้ข้อสรุป

     นพ.ธีระเกียรติ ยังกล่าวถึงการที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ได้ส่งเรื่องให้กระทรวงศึกษาฯตรวจสอบกรณีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) 15 (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา) ใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปี 2559 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 62 ล้านบาท ก่อสร้างหลังคาคลุมลานอเนกประสงค์ของ 11 โรงเรียนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ขณะนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ถูกย้ายออกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยอยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียด ซึ่งจะต้องดำเนินการตามมาตรการของคสช.อย่างเคร่งครัด ส่วนกรณีการติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ในโครงการ Safe Zone School 12 เขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 1,104 แห่ง นั้น เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ทางกระทรวงจึงได้ส่งข้อสรุปให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อตั้งกรรมการสอบสวนวินัยผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว

     นอกจากนี้ในส่วนการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับอดีตผู้บริหาร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) ที่นำเงินจำนวนมหาศาลถึง 2,100 ล้านบาท ไปซื้อตั๋วสัญญา กับ บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด เพื่อนำไปลงทุนในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี ศาลอาญาได้พิพากษาจำคุกผู้บริหารบริษัทบิลเลี่ยนฯ จำนวน 2 ราย คนละ 10 ปีพร้อมริบของกลาง ส่วนอดีตคณะกรรมการกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษฯตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ของกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ทางกระทรวงฯได้ลงโทษทางวินัยไล่ออก 6 ราย ขณะเดียวกัน ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทั้งวินัยและอาญา อยู่ระหว่างส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย รวมถึงได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบละเมิด และได้ข้อสรุปชี้มูลว่ากรรมการกองทุนฯ มีความผิดทางละเมิด โดยจะต้องมีส่วนในการรับผิดชอบ ส่วนใครจะต้องรับผิดชอบในสัดส่วนเท่าไรนั้น ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายไปตรวจสอบ ดังนั้นถือว่ากรณีของบริษัท บิลเลี่ยนฯ จบสิ้นกระบวนการทุกอย่าง

     ด้านนายบุญรักษ์ กล่าวตอนท้ายว่า ในส่วนของสพฐ.ได้ตรวจสอบกรณีการทุจริตที่ได้รับร้องเรียนพบว่ามีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแล้ว 41 ราย ซึ่งภายในสัปดาห์นี้จะมาพิจารณาว่าใครที่จะต้องถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อนบ้างหรือย้ายออกจากตำแหน่งบ้างและมีการตั้งคณะกรรมการสืบสวน จำนวน 9 ราย ถ้ามีมูลจะดำเนินการตามมาตรการคสช.คือให้ออกจากราชการไว้ก่อน หรือให้ออกจากตำแหน่งหรือให้ย้าย โดยข้อมูลนี้เฉพาะส่วนกลางรวมทั้งสิ้น 50 ราย ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินและการประพฤติผิดต่อหน้าที่ มีตั้งแต่ซี 9 ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) 6 ราย นอกนั้นเป็นผอ.โรงเรียน ครูและบุคลากรในเขตพื้นที่ อย่างไรก็ตามในการตรวจสอบปัญหาการทุจริตต่างๆได้ให้สพท.เร่งดำเนินการและรายงานให้สพฐ.รับทราบ

ให้ออกราชการ\"ผอ.สามเสน\"หลังชี้มูลความผิด

      ส่วนความคืบหน้าทุจริตเงินสงเคราะห์คนยากไร้ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) พ.ท.กรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการ ป.ป.ท.(สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทจริตในภาครัฐ) เปิดเผยว่า ในวันที่ 3 เมษายนทางป.ป.ท.จะประชุมและรายงานผลการตรวจสอบการทุจริตศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 37 แห่ง ซึ่งเป็นการตรวจสอบเร่งด่วนของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อสรุปรายงานการตรวจสอบเสนอให้บอร์ดป.ป.ท.พิจารณาตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนความผิดอาญาโดยผลการประชุมจะทำให้เห็นตัวตนหรือเค้าลางว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง โดยมีจำนวนหลายคนทั้งที่ยังอยู่ในตำแหน่งราชการและไม่อยู่ในระบบราชการแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ส่วนจะเกี่ยวข้องถึงผู้บริหารของพม.หรือไม่ต้องรอดูจากพยานหลักฐาน

ให้ออกราชการ\"ผอ.สามเสน\"หลังชี้มูลความผิด

     ทั้งนี้การตรวจสอบใช้จ่ายเงินงบปี 2560 ประเภทเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง 76 แห่ง วงเงิน 123,159,000 บาท พบความผิดปกติแล้ว 53 จังหวัด เป็นเงิน 107,049,000 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 87 ของงบประมาณศูนย์คุ้มครองฯ โดยภาคอีสาน 20 จังหวัด พบหลักฐานส่อทุจริตครบทั้ง 20 จังหวัด 

     แหล่งข่าวจากป.ป.ท.เปิดเผยว่า ในส่วนของบุคคลที่อยู่เบื้องหลังทุจริตเงินสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งรอความชัดเจนถึงเส้นทางการเงินจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งเชื่อมโยงกับข้าราชการระดับ 10 และ 11 โดยข้อมูลที่พบบางส่วนตรงกับการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงของพม.และพบความเชื่อมโยงเพิ่มเติมจากธุรกรรมการเงินที่ปรากฏ โดยมีร่องรอยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของบุคคลใกล้ชิดกับข้าราชการระดับสูงช่วงใกล้มีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี ซึ่งป.ป.ท.จะตรวจสอบเพื่อเอาผิดในทางอาญา เมื่อปรากฏธุรกรรมการเงินชัดเจนจะเสนอนายกรัฐมนตรีให้ปลดออกจากราชการ

ให้ออกราชการ\"ผอ.สามเสน\"หลังชี้มูลความผิด

     วันเดียวกัน ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 13.30 น. พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. เป็นประธานการประชุม “โครงการพัฒนาเครือข่ายองค์กรต่อต้านทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ” หรือทุจริตฮั้วประมูล โดยมี พ.ต.อ.จักร เพ็งสาธร รอง ผบก.ปปป. พ.ต.อ.วรายุทธ สุขวัฒน์ รอง ผบก.ปปป. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ 10 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ป.ป.ช. ป.ป.ท. ปปง. กองทัพภาคที่ 1 สตง. กรมสรรพากร กรมบัญชีกลาง บก.ป บก.ปอศ. และบก.ปอท.

     พล.ต.ต.กมล เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา บก.ปปป. พร้อมด้วยคณะเครือข่ายองค์กรต่อต้านทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ ได้ดำเนินการตรวจสอบการฮั้วประมูลในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)ไปแล้ว 2 ล็อต โดยล็อตที่ 1.ขายรถดูดโคลน และรถขยะอัดท้ายให้รัฐ ลักษณะเป็นการล็อคสเป็คได้ดำเนินคดีไป 21 อปท.ส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ไปแล้ว 20 อปท. เหลืออีก 1 อปท. และล็อตที่ 2.ขายรถดูดโคลนให้รัฐ เป็นลักษณะบริษัทไม่ผ่านคุณสมบัติตามที่กำหนด และรถไม่ได้มาตฐานอุตสหากรรม ดำเนินคดีไปแล้ว 12 อปท.

     ทั้งนี้ในล็อตที่ 2 มี 11 อปท. ใน 10 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ ชลบุรี สมุทรสาคร พิษณุโลก ระยอง ศรีสะเกษ เพชรบูรณ์ สิงห์บุรี สมุทรปราการ และนนทบุรี หลังจากนี้รอประสานผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีรายชื่อพบทุจริตฮั้วประมูลมาร้องทุกข์กล่าวโทษกับ บก.ปปป. ในฐานะผู้เสียหาย หลังจากนั้นทางคณะทำงานจะเรียกข้าราชการที่พบว่าเกี่ยวข้องมาทำการแจ้งข้อกล่าวหา ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ส่วนบริษัทเอกชนที่ร่วมทุจริตจะแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันสนับสนุนการฮั้วประมูล ความผิดตามพ.ร.บ.ฮั้วประมูล

     ด้านพ.ต.อ.จักร กล่าวว่า ในการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน ให้เจ้าหน้า ปปง.ตรวจสอบเพื่อเอาผิดระดับหัวหน้าหน่วยราชการมาดำเนินคดีตามกฏหมายโดยเบื้องต้นรถดูดโคลนและรถขยะอัดท้ายเมื่อตรวจสอบจากกรมการค้าภายในพบข้อมูลว่าราคาต้นทุนรถดังกล่าวจากโรงงานราคาประมาณคันละ 7 ล้านบาทบวกกำไรและภาษีที่ตัวแทนหรือบริษัทจะนำมาขายประมาณคันละ 11-12 ล้านบาท แต่กลับมีการตั้งราคาขายให้กับ อปท.คันละ 18-19 ล้านบาท ปกติการจับฮั้วประมูลทำการตรวจสอบได้ยากมาก แต่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญในการปราบปรามทุจริตจึงกระทำสำเร็จได้

ฉบับ นสพ.คมชัดลึก