
จากจัสมิน ถึงแจ๊ซแมน
ภายหลังการทดลองมาเป็นเวลายาวนานถึง 12 ปี ศูนย์วิจัยและค้นคว้าเกษตรกรรม มหาวิทยาลัยหลุยเซียน่า ของสหรัฐ ก็ประกาศผลความสำเร็จในการค้นคว้าและพัฒนาพันธุ์ข้าวชนิดใหม่ จากการนำข้าวหอมของจีนสายพันธุ์หนึ่งมาผสมกับข้าวเมล็ดยาวของรัฐอาร์คันซอ
ข้าวดังกล่าวมีชื่อทางวิชาการว่า แอลเอ2125 และชื่อสามัญหรือชื่อทางการค้าว่า "แจ๊ซแมน" (Jazzman) ทั้งนี้ ทางศูนย์วิจัยฯ จะได้นำเมล็ดข้าวแจ๊ซแมนไปให้เกษตรกรเพาะปลูกในฤดูกาลผลิต 2552/2553 นี้
ศูนย์วิจัยและค้นคว้าเกษตรกรรม มหาวิทยาลัยหลุยเซียน่า อ้างว่าข้าวแจ๊ซแมนจะมีคุณภาพและกลิ่นหอมใกล้เคียงกับข้าวจัสมินหรือหอมมะลิของไทย และมีความสามารถในการเป็นคู่แข่งขันกับข้าวจัสมินในตลาดสหรัฐได้ ที่สำคัญคือข้าวแจ๊ซแมนจะให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าข้าวจัสมิน คือประมาณไร่ละ 1,250 กิโลกรัม ขณะที่ข้าวหอมมะลิของไทยให้ผลผลิตไร่ละ 400 กิโลกรัม
เหตุผลประการสำคัญที่ทำให้สหรัฐพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมแจ๊ซแมนขึ้นมา ก็เนื่องจากปริมาณคนอเมริกันที่นิยมบริโภคข้าวหอมมะลิจากประเทศไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันสหรัฐนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทย เป็นจำนวน 3.5-4 แสนตันต่อปี และคาดว่าจะสูงขึ้นถึง 1.5 ล้านตัน ในปี ค.ศ. 2017 ซึ่งหากชาวนาสหรัฐมีการปลูกข้าวหอมแจ๊ซแมนกันมาขึ้น ก็จะทำให้ข้าวแจ๊ซแมนเข้ามาแย่งตลาดข้าวหอมมะลิของไทยในสหรัฐ อันเป็นการลดปริมาณการส่งออกข้าวหอมมะลิจากไทยไปยังสหรัฐโดยตรง และนั่นคือเหตุผลประการสำคัญ ที่สหรัฐจงใจใช้ชื่อข้าวพันธุ์ใหม่ให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับคำว่า จัสมิน
ขณะนี้สหรัฐได้จดทะเบียนข้าวแจ๊ซแมนกับสหพันธ์ข้าวแห่งสหรัฐ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งประทับตราว่า “ปลูกในสหรัฐ” ซึ่งส่งผลให้ข้าวพันธุ์นี้เป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองของสหรัฐ และกำลังจะเป็นข้าวในเชิงพาณิชย์ชนิดที่สองของสหรัฐ ต่อจากข้าวเมล็ดยาว เทกซัส ลองเกรน ซึ่งมีจำหน่ายทั่วไปในสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากการนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทย เปรียบเทียบกับกำลังการผลิตของข้าวแจ๊ซแมนแล้ว เป็นเรื่องที่ชวนให้คิดว่า สหรัฐต้องการเพียงแค่ลดการนำเข้าข้าวหอมมะลิเท่านั้น หรือต้องการที่จะเปิดศึกข้าวหอมกับไทยในตลาดโลก เพราะหากข้าวแจ๊ซแมนมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับข้าวจัสมินจริง จนผู้บริโภคปราศจากเงื่อนไขในการที่จะเลือกซื้อข้าวแจ๊ซแมนแทนข้าวจัสมินแล้ว แน่นอนว่าสหรัฐย่อมสามารถใช้ความได้เปรียบในเรื่องผลผลิต ราคา การประชาสัมพันธ์ และการตลาด รวมทั้งกลยุทธ์ต่างๆ มาส่งเสริมการขายข้าวแจ๊ซแมนอย่างเต็มกำลัง ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นไทยก็คงไม่ได้สูญเสียตลาดข้าวหอมเฉพาะในสหรัฐเพียงแห่งเดียว หากแต่จะมีผลเชื่อมโยงไปถึงที่อื่นๆ ของโลกด้วย
เขียนมาถึงตรงนี้ ก็นึกถึงกลอนชื่อ “หอมข้าว” ที่ผมเคยเขียนไว้ เมื่อปี 2547 ซึ่งขอนำมาเล่าใหม่ไว้ตรงนี้ครับ
“พร่างฝนดั่งเพชรพราย ที่ร่วงรายสู่พื้นดิน
คลื่นข้าวก็ลู่ริน ระเนนไหวในท้องนา
ชูรวงอันสีทอง ดุจสร้อยคล้องพสุธา
คมเคียวแห่งเหล็กกล้า ก็เกี่ยวพารวงขาดพลัน
เม็ดขาวดุจมุกงาม เต็มจานชาม เต็มความฝัน
ของชาวนาผู้บากบั่น และเติมฝันของนายทุน
ความฝันอันโหดร้าย ของผู้ไร้ใครการุณย์
ความฝันอันอบอุ่น ของคุณคุณ หรือของใคร
หอมเอยหอมกลิ่นฝัน กลิ่นข้าวอันอบอวลไป
ข้าวหอมก็หอมไกล ชื่อข้าวไทยก็ลือชา
วันคืนตื่นจากฝัน อกใจสั่นขวัญผวา
ข้าวหอมถูกตีตรา เป็นสินค้าจากแดนไกล
ฝันพลันสิ้นกลิ่นฝัน สิ้นคืนวันอันสดใส
เม็ดข้าวจากโคลนไคล ต่อนี้ไปคงขื่นคอ”