หนุ่มอนาจารเด็กสาว ม.3 หน้าโรงเรียน | คมชัดลึก

 

               27 ก.พ. 61  เมื่อเวลา 16.30 น.  พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ บุญเสริมศักดิ์ สว.(สอบสวน) สน.บางขุนเทียน ได้รับแจ้งเหตุชาวบ้านจับกุมตัวผู้ต้องหากระทำอนาจารเด็กผู้หญิง ได้ที่บริเวณหน้าปากซอยเอกชัย 23 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กทม. หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สายตรวจ และตำรวจจราจร

 

 

               ที่เกิดเหตุพบ นายถาวร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี ผู้ต้องหา ในสภาพสะบักสะบอมถูกชาวบ้านควบคุมตัวเอาไว้ พร้อมกับนำส่งพนักงานสอบสวน ใกล้กันมี น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 15 ปี และ น.ส.บี (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ทั้งสองคนสวมชุดนักเรียนชั้น ม.3 ของโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง กำลังอยู่ในอาการตระหนกตกใจ โดยมีเพื่อนๆ นักเรียนและครูอาจารย์ที่ทราบข่าว ต่างเดินทางมาปลอบประโลมจำนวนมาก

               จากการสอบสวน น.ส.เอ ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเลิกเรียนแล้วและกำลังจะเดินมาขึ้นรถที่ริมถนนเอกชัยกับเพื่อนๆ ตามปกติ พบ นายถาวร ผู้ต้องหารายนี้ เดินเข้ามาทักตนกับ น.ส.บี พร้อมกับชักชวนพูดคุยเรื่องต่างๆ นานา ก่อนที่ นายถาวร จะลามปามด้วยการจับมือลูบไล้แขนตนทั้งสองคน ขณะที่ น.ส.บี เดินห่างออกไปเพื่อรับสายโทรศัพท์ ปรากฏว่า นายถาวร กลับถือโอกาสลูบผมและหอมแก้มตน ทำให้ตนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านให้ช่วยกันจับกุมตัว นายถาวร เอาไว้ดังกล่าว

 

 

               ด้าน นายชลอ เสือกระจ่าง อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู รหัส นคร 58 ซึ่งมาทำธุระอยู่ใกล้ๆ จุดเกิดเหตุ ให้ข้อมูลว่า ปกติ นายถาวร ผู้ต้องหารายนี้เป็นคนจิตใจดี โดยมักจะเดินเท้าออกจากบ้านพักมาช่วยโบกรถให้ชาวบ้าน และนักเรียนข้ามถนนทุกวันทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็นเป็นเวลานานนับปี แต่ระยะหลัง นายถาวร มักบ่นให้ชาวบ้านฟังว่า ขาดยา และพูดจาแปลกๆ อาทิ ตัวเองเคยเสียชีวิตมาแล้ว หรือตัวเองเคยกลับชาติมาเกิด คาดว่าเรื่องนี้น่าจะมีสาเหตุมาจากการที่เจ้าตัวมีอาการทางจิต และขาดยาจริงๆ จึงลงมือก่อเหตุดังกล่าวขึ้น

               ทางด้าน พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า การกระทำของ นายถาวร เข้าข่ายผิดกฎหมายกระทำอนาจาร ต่อเด็กแล้ว แต่หลังจากนี้จะต้องติดตามตัวญาติพี่น้องของนายถาวรมาสอบสวนว่าเจ้าตัวเคยมีประวัติรักษาอาการทางจิตหรือไม่ ส่วนเด็กทั้งสองรายจะประสานให้พนักงานสอบสวนหญิง เข้ามาสอบปากคำร่วมกับผู้ปกครองและสหวิชาชีพ ทั้งนี้ จะดำเนินคดี นายถาวร ได้หรือไม่ก็อยู่ที่หลักฐานที่ทางญาติจะนำมายื่นกับพนักงานสอบสวนต่อไป