ข่าว

ย้ำ“บิ๊กป้อม”ยังหนักแน่น 

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

“บิ๊กตู่”สัญจร จ.ตราดประเดิมโครงการไทยนิยมลั่นรัฐบาลใหม่ไม่ทำตาม คสช. คือไม่รักษาสัญญาปชช.โฆษกกลาโหมสยบข่าวลือย้ำชัด“บิ๊กป้อม”ไม่ลาออกด้านเว็บไล่ยอดพุ่ง6หมื่น“


          ที่บ้านเปร็ดใน อ.เมือง จ.ตราด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบห่งชาติ (คสช.) พร้อมคณะ อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ลงพื้นที่เยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ำชุมชน ตามแนวพระราชดำริบ้านเปร็ดใน ซึ่งเป็นชุมชนตัวอย่างในเรื่องการบริหารจัดการป่าชายเลน

          “บิ๊กตู่”พร้อมคณะลงพื้นที่ตราด
          พล.อ.ประยุทธ์ ถามชาวบ้านว่าได้ไปร่วมเดินกับกลุ่มวีวอล์กหรือไม่ โดยชาวบ้านตอบกลับว่า “ไม่ได้ไป” พร้อมให้กำลังใจนายกฯ ซึ่งทำให้นายกฯ ตอบสวนว่า “ดีแล้ว อย่าไปวอล์กกับเขานะ” และกล่าวตอนหนึ่งว่าขอให้ประชาชนสนับสนุนการทำงานของข้าราชการด้วย จะรอรัฐบาลช่วยเหลืออย่างเดียวจะไม่ทันการณ์เพราะมีงบประมาณจำกัด ขณะเดียวกันขออย่าให้ใครเขามาบิดเบือนว่าต้องรวย แล้วที่ผ่านมาเขาทำได้ไหม แล้วปล่อยให้คนเหล่านั้นมาเล่นงานตนทุกวัน สัญญาแล้วนะว่าจะช่วยกัน ดังนั้นขออย่าให้ใครมาชักพาเพื่อนำไปสู่ความขัดแย้ง วันนี้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. ท้องถิ่น ต้องคิดกันใหม่ โดยรัฐบาลจะทำเท่าที่มีเวลาทำได้ และ 3 ปีมานี้ก็รบกับหลายเรื่อง วันนี้บ้านเมืองยังไม่เรียบร้อยก็ขอเวลาเพราะวันหน้าถ้ายังไม่เรียบร้อย ทุกอย่างก็วุ่นไปหมด ขณะเดียวบ้านเมืองเรายังไม่สงบซึ่งเกิดจากคนไม่กี่คน บางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับเราก็ให้กลไกได้ทำงานไป เราไม่ต้องแบกรับทั้งหมด โดยให้กฎหมายได้เดินหน้าไป ผลจะเป็นอย่างไรก็ถือว่าจบ

          ย้ำเลือกตั้งต้องได้คนดี
          “วันนี้บ้านเมืองปั่นป่วนไปหมดแล้ว ทุกฝ่ายต้องยอมรับในกระบวนการยุติธรรม แต่วันนี้กลายเป็นว่าถ้าศาลตัดสินเข้าข้างบอกว่าเป็นธรรม ถ้าไม่เข้าข้างก็บอกว่าไม่เป็นธรรม ซึ่งมันไม่ใช่ ผมไม่เคยไปก้าวล่วงอะไรสักอย่าง อะไรที่ยังไม่เข้ากระบวนการยุติธรรมก็จะต้องเอาเข้าให้หมด เราไปเร่งรัดอะไรไม่ได้ รัฐบาลที่แล้วเข้ากระบวนการยุติธรรม ผมก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับเขาเลย แล้วทำไมถึงไม่ยอม มันไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

          ช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ถามประชาชนว่า นายกฯ ตัวจริงน่าเกลียดน่ากลัวหรือไม่ พร้อมกล่าวว่า วันนี้พยายามทำทุกอย่าง เศรษฐกิจจะดูเฉพาะข้างล่างอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูตรงกลาง ดูเรื่องของภาษี การค้าขาย ถึงจะมาดูข้างล่าง แต่ถ้าเราต่อต้านกันทั้งหมดมันก็จบ เราต้องคิดใหม่ว่าจะทำบ้านเมืองไปอย่างไร และย้ำว่า ประชาธิปไตยเราต้องมี ไม่เคยคิดว่ามันไม่ต้องมี แต่ต้องเลือกให้เป็น จากนั้นนายกฯ หันไปถามประชาชนว่า “รู้หรือยังจะเลือกใคร” ซึ่งประชาชนไม่ตอบคำถาม ทำให้นายกฯ ตอบกลับว่า รอถ่ายรูปอยู่ใช่หรือไม่ เรียกเสียงหัวเราะ ก่อนที่นายกฯ จะกล่าวเพิ่มเติมว่า “ถ้าเลือกไม่ดีแล้วได้แบบเดิมมาจะเกิดอะไรขึ้นผมไม่รู้นะ และวันนี้ไม่ได้มาเพื่อการเมือง” นายกฯ กล่าว

          ชี้รัฐบาลใหม่ไม่ทำคือไม่รักษาสัญญา
          ต่อมาที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเล กองทัพเรือ (เกาะช้าง) พล.อ.ประยุทธ์  พร้อมคณะเดินทางติดตามการพัฒนาการท่องเที่ยวของเกาะช้าง และรับฟังข้อเรียกร้องของเกาะช้าง ซึ่งได้เสนอการพัฒนาเกาะช้างเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท จากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นแผนระยะยาว 7 โครงการ อาทิ โครงการถนนเชื่อมรอบเกาะช้างที่เป็นถนนเลียบเกาะที่เหลือระยะทางประมาณ 10 กม.เศษ ระหว่างบ้านบางเบ้า-บ้านสลักเพชร ต.เกาะช้างใต้ และโครงการอ่างเก็บน้ำคลองพร้าว ซึ่งจะมีความจุเต็มที่กว่า 2 ล้านลบ.ม.

          พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้เดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตย แต่ถามว่าประชาธิปไตยที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร ซึ่งจะเป็นบ่อเกิดและต้นทางของทุกอย่าง และย้ำว่าไม่ขัดแย้งกับประชาธิปไตย แต่อยากให้มองประชาธิปไตยเป็นสิ่งดีงามสามารถเลือกตั้งคนที่มีคุณภาพเข้ามาสู่การเลือกตั้งได้ ตราบใดที่ยังเลือกคนไม่ได้หรือไม่มีคนให้เลือกนั่นคือปัญหาของเรา และวันหน้าปัญหาเหล่านี้จะไม่มีโอกาสแก้ไขต่อไป อย่างไรก็ตามไม่ได้มาทำวันนี้เพื่อการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่ต้องการเริ่มทุกอย่างในสิ่งที่ขอมาถ้าทำตั้งแต่วันนี้ก็จะเกิดขึ้นตั้งแต่วันนี้ ใครเข้ามาก็ต้องทำ ถ้าใครเข้ามาแล้วไม่ทำก็ถือว่าไม่ทำตามสัญญาของประชาชน นั่นคือสิ่งที่อยากจะบอกในเมื่อเราเป็นเจ้าของอำนาจก็ต้องใช้อำนาจที่ถูกต้อง

          พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า พื้นที่เกาะช้างเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพดังนั้นต้องเตรียมความพร้อมทั้งด้านการท่องเที่ยวและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวและชาวบ้านในพื้นที่ถือเป็นสิ่งสำคัญและทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในรายได้ที่เกิดขึ้น อีกทั้งรัฐบาลอยากให้ทุกคนต้องช่วยกันดูแลเกาะช้างให้สวยงาม สิ่งที่ชาวเกาะช้างขอมาทั้งหมด 7 ข้อรัฐบาลจะรับหลักการทั้งหมดและจะนำไปพิจารณาและหาวิธีการดำเนินการให้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และจำเป็น โดยรัฐบาลนี้พยายามทำทุกเรื่องแต่ไม่ใช่เป็นการนำเงินมาให้ ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมการตามโครงการประชารัฐและโครงการไทยนิยมคือทุกคนต้องนิยมทำความดี เคารพกฎหมาย เลือกตั้งให้เกิดความเป็นธรรม ได้คนดีเข้ามาบริหารบ้านเมืองนั่นคือสิ่งที่เรียกว่าไทยนิยมของตน

          ย้ำวางรากฐานเพื่อลูกหลาน
          “ผมยังมีกำลังใจในการทำงานต่อ แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้างซึ่งอาจจะเกิดจากความหวังดีหรือว่าไม่หวังดี ความเข้าใจหรือความไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่อยากจะให้เข้าใจคือความตั้งใจในการเข้ามาทำงานตั้งแต่เป็นทหาร แต่จะทำอย่างไรให้เกิดขึ้นได้และหลายอย่างก็ควรจะเกิดขึ้นมานานแล้วแต่ก็เกิดไม่ได้ แต่รัฐบาลนี้สามารถทำได้ในบางเรื่องที่ไม่เกิดข้อขัดแย้งมาก และวันนี้สิ่งที่ต้องการคือไม่ให้ประชาชนแบ่งแยกกัน ต้องหันหน้าเข้าหากัน อย่าให้ใครเข้ามาชี้นำให้เราแตกแยกอีกต่อไป วันนี้รัฐบาลจะทำเป็นแบบอย่างให้ไว้ วันข้างหน้าจะได้เลือกคนดีๆ เข้ามาทำงานซึ่งก็สุดแล้วแต่ทุกคน ตนบังคับใครไม่ได้ แต่อยากได้คนดีมาตียอด เราต้องวางรากฐานประเทศไทยเข้มแข็งไม่ใช่เพื่อนายกฯ ไทยหรือเพื่อใครแต่ทั้งหมดก็เพื่อลูกหลานของทุกๆคน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

          “สมคิด”จัดคิวไปทุกจังหวัด
          ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวว่า ดีใจที่วันนี้ประชาชนกล้าพูดจริงๆ นะตอนนี้ความจริงปัจจุบันนี้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นเนื่องจากบ้านเมืองมีความสงบ แต่แค่นี้ทั้งรัฐบาลและนายกฯ ก็ยังไม่พอใจ ต้องการให้มีคณะกรรมการพิเศษลงไปยังทุกจังหวัด  ตำบล และหมู่บ้าน เช็กดูว่าเพื่อตรวจสอบดูว่าชาวบ้านต้องการอะไร ชาวบ้านมีความต้องการหรือมีความเดือดร้อนอะไร ทั้งหมดไม่ใช่เพื่อการหาเสียงอย่างที่เป็นข่าวหรือที่ชอบพูดกัน แต่รัฐบาลมาเพื่อให้ผู้บริหารราชการแผ่นดินลงมาสัมผัสชาวบ้าน

          “เราจะไปในทุกจังหวัดจนกว่าเวลาจะหมดและเชื่อว่าจังหวัดที่ไปทุกจังหวัดที่ไปก็จะมีประชาชนมาร้องทุกข์ ประชาชนมาร้องเรียนถึงความเดือดร้อนของตัวเอง แต่ทั้งหมดไม่ใช่เพื่อการหาเสียงอย่างที่เป็นข่าวหรือที่ชอบพูดกัน แต่มาเพื่อให้ผู้บริหารราชการแผ่นดินลงมาสัมผัสกับชาวบ้านให้รู้ถึงความเดือดร้อนและความต้องการ โดยต้องร่วมมือกันทั้งสองฝ่ายในลักษณะของประชารัฐนี่คือแนวทางที่รัฐบาลปัจจุบันทำมาโดยตลอด แต่บางครั้งยอมรับว่าการสื่อสารไม่ถึงจึงอยากให้ประชาชนช่วยบอกต่อกันปากต่อปาก” นายสมคิด กล่าว

          ปชป.-พลังชลตบเท้าพบนายกฯ
          จากนั้นเวลา 15.30 น. ที่ อ.เมือง จ.จันทบุรี พล.อ.ประยุทธ์  และคณะ เดินทางมาถวายราชสักการะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ภายในค่ายตากสิน และเวลา 15.40 น. นายกฯ และคณะเดินทางมายังหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จ.จันทบุรี ซึ่งอยู่ตรงข้ามศาลพระเจ้าตาก เพื่อเป็นประธานการประชุมพบปะพูดคุยผู้นำท้องถิ่นของจันทบุรี โดยก่อนการประชุมในเวลา 14.30 น. มีบรรดานักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น อาทิ นายทรงยศ เทียนทอง นายก อบจ.สระแก้ว จำนวน 41 คนในพื้นที่ภาคตะวันออกมาร่วมประชุมด้วย อาทิ นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายพงศ์เวช เวชชาชีวะ นายธารา ปิตุเตชะ พร้อมด้วยอดีตส.ส.ใน จ.ระยอง รวมทั้งนายสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชล พร้อมสมาชิกพรรคพลังชลที่อยู่ในพื้นที่ชลบุรี อาทิ นายวิทยา คุณปลื้ม และนายสันตศักย์ จรูญงามพิเชษฐ์

          นายสนธยา กล่าวว่า การเดินทางมาประชุมร่วมกับนายกฯ ในครั้งนี้เพื่อพบปะพูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนาท้องถิ่นในภาคตะวันออก ซึ่งมีทั้งหมด 8 จังหวัด โดยจะนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) การท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม ซึ่งทั้งหมดจะต้องมีการเชื่อมโยงกับท้องถิ่นโดยในพื้นที่มีการติดตามเรื่องการออกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกซึ่งมีทั้งหมด 168 โครงการ งบประมาณพันล้านบาท รวมทั้งในพื้นที่ จ.จันทบุรีและตราด ซึ่งนอกจากเป็นพื้นที่เศรษฐกิจด้านท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลและการเกษตร รวมถึงการส่งเสริมอัญมณี ผลไม้ จึงอยากให้รัฐบาลดำเนินการเรื่องการขนส่งขนาดใหญ่โดยไม่จำเป็นต้องมีรถไฟฟ้าความเร็วสูง ขอให้มีรถไฟรางคู่เพื่อใช้ขนคนและสินค้าการเกษตรเพื่อรองรับอีอีซี อย่างไรก็ตามยืนยันว่าการร่วมประชุมร่วมกับนายกฯ จะไม่พูดคุยเรื่องการเมืองและการเลือกตั้ง

          ด้านนายสาธิต กล่าวว่า การเข้าหารือนายกฯ จะไม่พูดคุยเรื่องการเมือง จะพูดคุยเรื่องการพัฒนาในพื้นที่ภาคตะวันออกจึงอยากให้รัฐบาลได้ดำเนินการ ในส่วนของ จ.จันทบุรี และตราด ซึ่งเป็นพื้นที่เรื่องการท่องเที่ยว เกษตรและโรงงานอุตสาหกรรมโดยโครงการต่างๆที่ลงไปทั้ง 2 จังหวัด อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วม เหมือนสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลที่ใช้คณะกรรมการกลางเข้ามาดูแล จึงอยากให้สานต่อตรงนี้ รวมถึงอยากให้ปฏิรูปเรื่องการศึกษาเพราะถือเป็นพื้นที่พิเศษที่ควรจะเข้ามาให้ความสำคัญ

          ยัน“บิ๊กป้อม”กำลังใจดีเยี่ยม
          เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสสังคมส่วนใหญ่เรียกร้องให้พล.อ.ประวิตร ลาออกจากตำแหน่ง ว่าการแสดงความคิดเห็นในสังคมประชาธิปไตยถือเป็นมุมมองที่ทุกฝ่ายต้องเคารพ เปิดกว้างรับฟังด้วยใจเป็นกลาง และพิจารณาร่วมกันอย่างสร้างสรรค์รอบด้าน เชื่อว่าทุกคนต่างมีประสบการณ์และบทเรียนร่วมกันมาแล้ว ความพยายามยับยั้งชั่งใจกันด้วยเหตุผลจะทำให้เราสามารถผ่านความยากลำบากนี้ไปด้วยกัน ทั้งนี้ขอยืนยันว่า พล.อ.ประวิตร ยังมีกำลังใจและสุขภาพแข็งแรงดี มีจิตใจเข้มแข็ง หนักแน่นและมั่นคงที่จะทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่เป็นแกนหลักในการดูแลความมั่นคงของประเทศและรักษาความปลอดภัยของสังคมต่อไป

          พล.ท.คงชีพ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประวิตร มีภารกิจสำคัญเดินทางไปร่วมประชุมกับ รมว.กลาโหมประเทศต่างๆ ในอาเซียน ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกันดูแลความมั่นคงของภูมิภาคร่วมกัน และเมื่อเดินทางกลับมาถึงในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ เวลา 14.00 น. มีกำหนดการต้อนรับการเข้าเยี่ยมคำนับของประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม กองทัพสหรัฐอเมริกา ณ ศาลาว่าการกลาโหม เพื่อหารือประเด็นความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และความร่วมมือทางทหารระหว่างไทยและสหรัฐ

          ลั่นจะทนให้ถึงที่สุด-ไม่ลาออก
          วันเดียวกันแหล่งข่าวจากคนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร เปิดเผยว่า ขณะนี้ พล.อ.ประวิตร ยังคงปฏิบัติภารกิจไปร่วมประชุมกับรมว.กลาโหมประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกันดูแลความมั่นคงของภูมิภาคร่วมกัน  โดยทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร พูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาในกองทัพเรื่องการถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งว่า ตอนนี้ยังทนได้ จะอดทนให้ถึงที่สุด และจะยังไม่ลาออก

          “เอกชัย” ยื่นเอกสารให้ลาออก
          ขณะเดียวกันที่บริเวณด้านหน้ากระทรวงกลาโหม นายเอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมืองได้เดินทางมายังกระทรวงกลาโหม เพื่อมอบเอกสารสรุปผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในอินเทอร์เน็ตที่มีประชาชนส่วนใหญ่ลงคะแนนเสียงสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตร ลาออกจากตำแหน่ง มามอบให้พล.อ.ประวิตร โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร กระทรวงกลาโหม รวมถึงทหารและตำรวจนอกเครื่องแบบดูแลอย่างใกล้ชิด

          นายเอกชัย กล่าวว่า วันนี้นำผลโพลล์จากสำนักข่าวสำนักหนึ่ง ซึ่งมีคนโหวตมากกว่า 2 แสนคน และผลโพลล์ของเพจหนึ่งมีคนลงคะแนนโหวตกว่า 1 แสนคน ซึ่งทั้งสองสำนักนี้มีคนโหวตจำนวนมาก และมีความน่าเชื่อถือจึงต้องการนำมามอบให้ พล.อ.ประวิตร พิจารณา

          จากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารของกระทรวงกลาโหมได้นำนายเอกชัยซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์เพื่อมาพูดคุยภายร้านกาแฟบริเวณด้านข้างกระทรวงกลาโหม ก่อนพาไปยื่นเอกสารจำนวน 2 แผ่นให้ตัวแทนสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมภายในกระทรวงกลาโหม ก่อนที่นายเอกชัยจะเดินทางกลับไป ขณะที่ในวันนี้ (5 ก.พ.) พล.อ.ประวิตร ไม่ได้เดินทางเข้ามาที่กระทรวงกลาโหม เนื่องจากมีภารกิจไปร่วมประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียนที่ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์นี้

          จี้ป.ป.ช.ตอบให้ชัดปมนาฬิกาหรู
          วันเดียวกัน นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยถึงกรณี น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสปช. ยื่นให้สตง.ตรวจสอบการเสียภาษีนำเข้านาฬิกาหรูทั้ง 25 เรือน ว่ามีการเสียภาษีถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ว่ามองว่าในฐานะทำงานด้านการตรวจสอบมาตลอดชีวิต เมื่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องนี้ ต้องแถลงข้อเท็จจริงทุกประเด็นให้ชัดเจน ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิ เพราะองค์กรตรวจสอบไม่สามารถทำเกินเลยหลักฐานข้อเท็จจริง ซึ่งระหว่างนี้ ป.ป.ช.สามารถพูดบนพื้นฐานข้อเท็จจริงได้ รวมทั้งสตง.ก็สามารถพูดได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่มีใครรู้หลักฐานเป็นอย่างไรเพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ตรวจสอบสอบให้ชัดแจ้ง

          “หน่วยงานตรวจสอบ คือเครื่องมือตรวจสอบแทนประชาชนต้องใช้ประโยชน์ได้ เป็นหน้าที่ป.ป.ช.ควรเปิดเผยหลักฐานทั้งหมด ผมเองสมัยเป็นผู้ว่าการสตง. แม้ไม่มีหลักฐานมาแสดงตอนแถลงข่าว และพร้อมตอบหากมีหลักฐานทุกประเด็นตนเชื่อว่า ป.ป.ช. ไม่น่าขายจิตวิญญาณเพราะฝ่ายการเมืองถึงเวลาก็ไป แต่หน่วยงานรัฐยังอยู่กับศาล

          ปรับ 3 พัน “แท็กซี่หนุนประวิตร”
          ที่ศาลแขวงดุสิต ถนนนครไชยศรี วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พนักงานอัยการได้นำตัว นายอดุลย์ ธรรมจิตต์ อายุ 54 ปี อาชีพขับแท็กซี่ หนึ่งในผู้ร่วมชุมนุมหน้ากระทรวงกลาโหม แสดงการสนับสนุนและเป็นกำลังใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ผู้ต้องหากระทำความผิดตามพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาตรา 7 วรรคแรก ห้ามจัดชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตรจากเขตพระราชฐาน พระบรมมหาราชวัง และมั่วสุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง หน.คสช. ที่ 3/2588 ที่ห้ามมิให้มั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป มายื่นฟ้องคดีด้วยวาจาต่อศาล ภายหลัง นายอดุลย์ ให้การรับสารภาพเมื่อได้เข้าพบพนักงานสอบสวนสน.พระราชวัง เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (5 ก.พ.)

          นายอดุลย์ ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า วันเกิดเหตุตได้เดินทางไปไหว้ศาลหลักเมือง เมื่อออกมาพบว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมให้กำลังใจ พล.อ.ประวิตร จึงเข้าร่วมเพราะส่วนตัวชอบ พล.อ.ประวิตร ส่วนป้ายที่ชูนั้นเอามาจากกลุ่มผู้ชุมนุมคนหนึ่งซึ่งอ่านดูแล้วข้อความไม่มีความรุนแรงอะไร กระทั่งเห็นภาพตัวเองและทราบข่าวจากสื่อว่าการเข้าร่วมชุมนุมฝ่าฝืนกฎหมายก็ยอมรับว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด จึงพิพากษาให้ปรับ 6,000 บาท ฐานมั่วสุมทางการเมืองเกิน 5 คน และชุมนุมใกล้พื้นที่สำนักพระราชวัง จำเลยรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษปรับให้กึ่งนึ่ง คงปรับเป็นเงิน 3,000 บาท

          “ศรีวราห์” ลั่นเอาผิดไม่เว้น
          ที่ อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร.ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ กล่าวว่า สั่งการให้สน.พระราชวัง ดำเนินการสืบสวนติดตามและออกหมายเรียกผู้ชุมนุมให้กำลังใจ พล.อ.ประวิตร ที่บริเวณหน้ากระทรวงกลาโหมก่อนหน้านี้ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีตามกฎหมาย ใช้มาตรฐานเดียวกับกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้งบริเวณสกายวอล์กที่ถูกดำเนินคดีที่สน.ปทุมวัน เบื้องต้นทราบว่ามีหนึ่งในผู้ร่วมชุมนุมเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาและสั่งการให้นำตัวส่งศาลแล้ว ยืนยันการว่าชุมนุมของทั้งสองกลุ่มมีความผิดตามกฎหมายทั้งขัดคำสั่งคสช. และผิดตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะโดยเฉพาะมาตรา 7 การชุมนุมบริเวณรัศมี 150 เมตรจากเขตพระราชฐาน ซึ่งยอมไม่ได้ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถอนุญาตได้

          ยอดขับบิ๊กป้อมพุ่ง6หมื่น
          ความคืบหน้าแคมเปญรณรงค์บนเว็บไซต์ change.org หัวข้อว่า "อยากให้รองนายกประวิตร ลาออก โดยนางทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชน อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นผู้ริเริ่มเคมเปญ โดยยอดล่าสุด ณ เวลา 18.00 น.วันที่ 4 กุมภาพันธ์ มีผู้เข้าร่วมแคมเปญมากกว่า 63,745 คนแล้ว

          เว็บหนุนโผล่อีก “คนรักษ์ป่า”
          ขณะเดียวกันมีรายงานว่าในโลกโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเปิดเว็บไซต์ konrakpa.org หรือ “คนรักษ์ป่า” ลักษณะเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับป่าไม้ของประเทศไทย ทั้งนี้เว็บไชต์ดังกล่าวนำรูปภาพของอุทยานแห่งชาติต่างๆ มานำเสนอบนเว็บไซต์ โดยหน้าเว็บไซต์มีบทกลอนว่า “ป่าเอ๋ย..ป่าไม้ เป็นของใคร จงคิดครวญ ให้ถ้วนถี่ ของข้าราชการ พ่อค้า ผู้มากมี หรือของพี่ น้องไทย ในแผ่นดิน เป็นของเรา ชาวไทย ใช่ใครอื่น ทุกวันคืน ควรรักษา อย่าให้สิ้น เมื่อป่ายัง อยู่ยั้ง ไม่พังภินท์ ผองชีวิน ก็จะยังอยู่ คู่ป่าเอย”

          นอกจากนี้ยังมีภาพ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมเปิดให้ลงชื่อสนับสนุน พล.อ.ประวิตร ให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป

          โดยมีข้อความระบุว่า “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักป่า ปกป้องผืนป่า ดูแลป่า พวกเราจึงรัก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พวกเราขอเป็นแนวร่วมและขอให้กำลังใจให้ท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อยู่ในคณะรัฐบาล และรับใช้ประเทศชาติต่อไป”
   
          ล่าสุดเมื่อเวลา 17.00 น. มีผู้ลงชื่อสนับสนุนกว่า 3.1 หมื่นคน ทั้งนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์จำนวนตัวเลขลงชื่อสนับสนุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในช่วงบ่าย

          “บิ๊กเจี๊ยบ” หนุนรัฐเดินตามโรดแม็พ
          ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ/ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมา ว่าสถานการณ์มีความเรียบร้อยในระดับหนึ่งแม้จะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ก็เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย โดยเจ้าหน้าที่และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสามารถดูแลให้เกิดความเรียบร้อยภายใต้กฎหมายปกติ   อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการดำเนินการเข้าสู่ระยะที่ 3 ตามโรดแม็พของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คือการเลือกตั้งทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศนั้น

          พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและช่วยขับเคลื่อนโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” ซึ่งมอบหมายให้ทุกหน่วยได้คัดสรรเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความสามารถในการอธิบายและสร้างความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม และพร้อมปฏิบัติงานร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ในนามทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยระดับตำบล 7,663 ตำบล ซึ่งจะเริ่มโครงการในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ทั้งนี้มั่นใจว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นไปด้วยดี คสช.ยังเป็นกลไกหลักที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งตามโรดแม็พ ซึ่งผู้บังคับหน่วยและทุกส่วนงานจำเป็นที่จะต้องทุ่มเทการทำงานเพื่อส่วนรวม ดูแลช่วยเหลือประชาชนในทุกด้าน สร้างให้สังคมไทยเดินหน้าไปตามกลไกที่กำหนดไว้

          “สุรชัย”ชี้จัดมหรสพข้อเสียมาก
          นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คนที่หนึ่ง กล่าวถึงกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. แก้ไขให้พรรคการเมืองจัดมหรสพช่วงหาเสียงได้ ว่าจะทำให้การเลือกตั้งในประเทศกลายเป็นการเมืองที่ต้องใช้เงิน เวทีไหนใช้เงินมากก็มีคนมาฟังมาก เวทีไหนมีเงินน้อยก็มีคนมาฟังน้อย สร้างความไม่เท่าเทียมตั้งแต่การหาเสียง ซึ่งที่ผ่านมาก่อนปี 2522 ประเทศไทยยอมให้มีรูปแบบการหาเสียงที่ยอมให้มีการจัดมหรสพได้ แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายก็ห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งจัดปราศรัย แต่กลับมามีความคิดเดิมๆ อีก ซึ่งสะท้อนความคิดของคนแต่ละยุคสมัย ทั้งที่วิธีการหาเสียงควรเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้สิทธิออกเสียงมากกว่า

          นายสุรชัย กล่าวอีกว่า ส่วนตัวเห็นว่าการจัดมหรสพจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับเสียงข้างมากตามมติเห็นชอบของสนช. หลังจากนี้จึงขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรธ. กกต. ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ หากมีการทำความเห็นโต้แย้งมายังสนช.ก็จะนำไปสู่ขั้นตอนการตั้งคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ส่วนสนช.ในฐานะผู้เห็นชอบกฎหมายคงจะไม่เหมาะสมหากไปเสนอความเห็นโต้แย้งมติของตัวเอง

          นายสุรชัย ยังกล่าวถึงการขยายเวลาเลือกตั้งเป็น 07.00-17.00 น. ซึ่งกกต.มองว่าต้องคำนึงถึงกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งในบางพื้นที่ที่มีความไม่สงบด้วยว่าเราควรมองที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นหลัก การขยายเวลาก็ถือว่าเป็นผลดีเช่นกัน เพื่อให้ประชาชนมีเวลามาใช้สิทธิเลือกตั้งได้มากขึ้น แต่หากกกต.มองว่าเป็นอุปสรรคต่อผู้ปฏิบัติงาน สนช.ก็ขอรอฟัง กกต.ก่อนว่าจะมีเหตุผลมากน้อยแค่ไหน ส่วนเรื่องการแบ่งกลุ่มอาชีพตามร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.ที่ยังมีความเห็นต่างกันระหว่างสนช.กับกรธ.นั้น ตนมองว่าหากต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายก็อาจต้องมาพิจารณาตามหลักการในรัฐธรรมนูญว่าแบบใดเกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากกว่า ซึ่งแม้รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าต้องแบ่งกี่กลุ่มอาชีพ แต่ประชาชนต้องมีสิทธิลงสมัครได้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ส่วนกรณีที่มีกระแสว่า สนช.จะคว่ำกฎหมายลูกที่ผ่านการเห็นชอบจากสนช.เองนั้น ตนไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้น

          “โอ๊ค”โพสต์จี้คนในพรรคอยู่ข้างไหน
          วันเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยมีใจความสรุปได้ว่า เชื่อว่าพี่น้องฝ่ายประชาธิปไตย ตลอดจนพี่น้องนักศึกษาจากทุกสถาบันคงรอฟังคำชี้แจงจากพรรคเพื่อไทยเรื่องที่มีสมาชิกพรรคออกมาเรียกร้องให้ดำเนินการกับนักศึกษาที่ทำกิจกรรมล้อการเมืองในงานบอลประเพณี ทั้งนี้ได้สอบถามคนในพรรคเบื้องต้นทราบว่า ผู้พูดต้องการสื่อสารให้รัฐบาลเห็นว่านักศึกษากลุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตยที่สกายวอล์ก หรือกลุ่มวีวอล์ก ไม่ควรต้องถูกรัฐบาลจับตัวไปดำเนินคดีและควรมีโอกาสได้แสดงกิจกรรมอย่างสันติวิธี เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสังคม เช่นเดียวกับที่รัฐบาลอนุญาตให้นักศึกษาธรรมศาสตร์และจุฬาฯ ทำได้ในการแข่งขันฟุตบอลประเพณี

          “ถ้าผู้พูดสื่อสารตามเจตนารมณ์ของตนและพูดในทางบวกในลักษณะประมาณว่า ถ้าทำได้ก็ควรจะทำได้ทั้ง 2 กรณี แบบนี้ว่าเคลียร์ และไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อสื่อสารในลักษณะถ้าจะเอาผิดก็ต้องเอาผิดทั้ง 2 กรณี ซึ่งเป็นการพูดในแง่ลบ ฟังดูแล้วจับใจความได้ว่าเป็นการเรียกร้องให้รัฐบาลเอาผิดนักศึกษา แบบนี้ไม่โอเค อย่างไรก็ตามเชื่อว่าประชาชนในฝั่งสนับสนุนประชาธิปไตยรวมถึงน้องๆ นักศึกษาทุกสถาบันไม่มีใครอยากให้กลุ่มไหนต้องโดนเอาผิด และหวังว่านายกฯ ในฐานะหัวหน้าคสช.จะทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันด้วยการยกเว้นโทษให้บุคคลทุกกลุ่มที่ออกมาสะท้อนความคิดเห็นของสังคมอย่างสันติวิธี เมื่อคนของพรรคการเมืองที่อยู่ฝั่งประชาธิปไตยและอยู่ข้างนักศึกษามาโดยตลอด ออกมาแสดงความคิดเห็นแบบนี้ ผมคิดว่าผู้พูดและพรรคการเมืองต้นสังกัดควรรีบออกมาชี้แจงต่อสังคม และแสดงจุดยืนให้ชัดเจน จะอยู่ข้างทหารหรืออยู่ข้างนักศึกษา เอาให้เคลียร์ๆ ชัดๆ ผมจะรอฟัง”

          จี้ฟันนศ.จัดงานบอลประเพณี
          สำหรับประเด็นที่นายพานทองแท้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กจี้ให้คนของพรรคการเมืองแสดงจุดยืนว่าจะอยู่ข้างใครนั้นพบว่า ก่อนหน้าเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กรณีนักศึกษาในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ทำหุ่นล้อการเมืองว่า ตามที่มีการออกหมายเรียกเพื่อจะดำเนินคดีกลุ่มผู้ชุมนุมที่สกายวอล์ก 39 คน และที่กระทรวงกลาโหม 40 คน ดังที่ปรากฏตามสื่อมวลชนนั้น ส่วนหนึ่งของการดำเนินคดีมาจากการใช้ข้อกฎหมายจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12 ที่ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองในที่ใดๆ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ดังนั้นในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งมีกิจกรรมทางการเมืองในลักษณะทำหุ่นและแปรอักษรล้อทางการเมืองด้วย จึงน่าจะเข้าข่ายเป็นการชุมนุมทางการเมืองที่ฝ่าฝืนข้อ 12 ของคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ดังนั้นเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยต้องไปดำเนินคดีด้วยเช่นกัน เรื่องนี้นายกฯ ในฐานะหัวหน้าคสช.ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งดังกล่าว โดยตนจะส่งหนังสือไปทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (อีเอ็มเอส) ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เพื่อให้นายกฯ สั่งการให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างไม่มีการยกเว้นหรือเลือกปฏิบัติกับบุคคลใดๆ ที่กระทำการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ข้อ 12 ดังกล่าว
 
          “ภูมิธรรม”ขอโทษปมบอลประเพณี
          วันเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่จะมีสมาชิกพรรคเพื่อไทยดำเนินคดีต่อนิสิตนักศึกษาในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ว่าได้ติดตามดูขบวนพาเหรดและกิจกรรมในวันดังกล่าวเห็นว่าขบวนพาเหรดของ นิสิตนักศึกษาทั้ง 2 มหาวิทยาลัย เป็นการแสดงออกอย่างบริสุทธิ์ สร้างสรรค์และถือเป็นการใช้เสรีภาพการแสดงออกตามกรอบของกฎหมายที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติและรองรับไว้อย่างถูกต้องโดยไม่มีผลกระทบใดๆ ที่เป็นปัญหาหรือเป็นผลเสียหายต่อประเทศและสังคม กิจกรรมดังกล่าวต้องถือเป็นกิจกรรมที่ควรส่งเสริมและสนับสนุนในการใช้เสรีภาพในการแสดงออกให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง จึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการกระทำหรือพฤติกรรมใดๆ ที่จะคัดค้านขัดขวางการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์

    &a

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ