ข่าว

“คสช.”ปัดสั่งห้ามล้อนาฬิกาหรู

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

“คสช.” โต้ลั่น ไม่เคยสั่งห้ามล้อนาฬิกาหรูในงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-มธ. รองอธิการบดีปัดทหารเรียกพบ ด้าน “ประวิตร” ปิดปากหลังภาคประชาชนล่าชื่อกดดันลาออก


          กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้ง หลังมีการเสนอข่าวเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปตรวจสอบหุ่นล้อการเมืองในงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 72 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ โดยเน้นย้ำห้ามล้อเลียนกรณีนาฬิกาหรู ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ถูกโจมตีหลังไม่ได้มีอยู่บัญชีทรัพย์สินที่แสดงต่อ ป.ป.ช. โดยคสช.ออกมาชี้แจงแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง

          ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องปกติที่เจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจสอบพูดคุยในทุกปี ซึ่งเชื่อว่าไม่แตกต่างจากเดิม และคงจะอยู่ในบรรทัดฐานเดียวกันกับในทุกพื้นที่ในกรณีที่จะมีการจัดกิจกรรม เพราะปัจจุบันสังคมค่อนข้างมีความรู้สึกอ่อนไหวกับประเด็นต่างๆ เร็วกว่าในสมัยอดีตมาก ทั้งเรื่องจริง หรือเรื่องเท็จ แม้ว่าในบางกรณีจะเป็นเรื่องเท็จ หรือเป็นเพียงการคาดเดาส่วนบุคคล ในช่วงนี้ต้องอาศัยความร่วมมือ และขอให้เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น

          โฆษกคสช. กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีข้อกังวลเกี่ยวกับรายละเอียดของกิจกรรม ทราบว่าแนวทางปีนี้ก็ไม่ต่างจากทุกปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ในพื้นที่คงจะมีการประสานกับผู้จัดงานในลักษณะขอความร่วมมือให้ระมัดระวังการแสดงออก โดยเน้นกิจกรรมไปในเชิงสร้างสรรค์ หากเป็นไปได้คงพยายามหลีกเลี่ยงการดำเนินกิจกรรมที่อาจสุ่มเสี่ยงจะไปกระทบภาพลักษณ์บุคคล หรือองค์กรในแง่มุมต่างๆ จนเกิดเข้าใจผิด หรือส่งผลต่อความขัดแย้งเกลียดชังกันของคนในสังคม ซึ่งทุกปีที่ผ่านมาก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี

          คสช.ยันแค่ตรวจสอบไม่ได้สั่งห้าม
          ด้าน พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 (ผบ.มทบ.11) ในฐานะทีมโฆษกคสช. ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้สั่งห้ามใดๆ เป็นเพียงการไปดูแลอำนวยความสงบ รักษาความปลอดภัย เพื่อให้งานจัดไปได้อย่างราบรื่น โดยเจ้าหน้าที่จะดูเรื่องของความปลอดภัย มีการนำเครื่องสแกนวัตถุระเบิดและวัตถุต้องสงสัยมาตั้งไว้ก่อนเดินเข้าพื้นที่อัฒจันทร์ในสนามศุภชลาศัย

          “งานประเพณีดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นมาทุกปี ซึ่งเรารู้ว่าทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะจัดขบวนพาเหรดล้อการเมือง ขณะที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะมีขบวนล้อเลียนปัญหาสังคม ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องตื่นตระหนกอย่างใด เพราะทางคณะกรรมการจัดงานได้มีการตรวจสอบเรื่องของหุ่นล้อการเมืองอยู่แล้ว และมีวิจารณญาณในการวิเคราะห์ก่อนที่จะนำออกมาเดินขบวนพาเหรด” พล.ต.ปิยพงศ์ กล่าว

          ขณะที่ พล.ต.สุวิทย์ เกตุศรี ผบ.พล.ม.2 รอ. กล่าวว่า สำหรับกระแสข่าวการเข้าตรวจหุ่นล้อการเมืองทั้ง 6 ตัวนั้นไม่เป็นความจริง เพราะทางหน่วยมีภารกิจเพียงเข้าดูแลความสงบเรียบร้อยภายในพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงานเขต และเทศกิจ เท่านั้น 

          มธ.ไม่ปิดกั้นนศ.ปัดทหารเรียกพบ
          ขณะที่ พญ.อรพรรณ โพชนุกูล รองอธิการบดี ฝ่ายการนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ออกแถลงการณ์ว่า กรณีมีข่าวในบางสื่อระบุว่าฝ่ายความมั่นคงได้หารือผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขอให้นักศึกษาไม่ล้อการเมืองในบางประเด็นและไม่ทำหุ่นล้อผู้นำนั้น ไม่เป็นความจริง  การจัดทำหุ่นล้อการเมืองในงานฟุตบอลประเพณีต้องเคารพในคุณค่าของเสรีภาพทางวิชาการและสปิริตแห่งธรรมศาสตร์ที่สะสมมาอย่างยาวนาน และย้ำว่ากิจกรรมจะอยู่บนข้อตกลงอันสำคัญคือ ไม่ปิดกั้นความเห็นและกระตุ้นเตือนให้สังคมเห็นปัญหาของสังคม และขบคิดร่วมกันโดยจะอยู่ในขอบเขตกฎหมายสิทธิเสรีภาพการแสดงออกภายใต้รัฐธรรมนูญ

          “ที่สำคัญตราบใดที่พลังหนุ่มสาวและเยาวชนยังอยู่ในกฎหมาย การจัดแสดงต่างๆ ย่อมได้รับการคุ้มครองด้วยถือประโยชน์แห่งสาธารณะ เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติ เป็นการแสดงออกถึงจิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ที่เราชาวธรรมศาสตร์เชื่อมั่นและยึดถือสูงสุด” พญ.อรพรรณ กล่าว

          4.5หมื่นลงชื่อไล่-บิ๊กป้อมปิดปาก
          ภายหลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา ว่า “หากประชาชนไม่ต้องการก็พร้อมลาออกจากตำแหน่ง” ส่งผลให้ภาคส่วนต่างๆ พากันออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้กันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะ นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ที่ได้เปิดแคมเปญผ่านเว็บไซต์ www.change.org ในหัวข้อ “อยากให้รองนายกฯ ประวิตร ลาออก ตามที่ท่านได้กล่าวไว้เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 61 ที่กระทรวงกลาโหม” ซึ่งปรากฏว่า ตั้งแต่เปิดแคมเปญจนถึง ณ เวลา 10.00 น. วันที่ 2 กุมภาพันธ์ มีประชาชนมาร่วมโหวตแล้วกว่า 4.5 หมื่นคน

          ส่วนความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวที่พยายามสอบถามถึงประเด็นต่างๆ และกรณีที่มีผู้สอบถามความคิดเห็นประชาชนว่าต้องการให้ พล.อ.ประวิตรปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหรือไม่ โดยพล.อ.ประวิตรยิ้มให้แล้วเดินขึ้นรถกลับออกจากทำเนียบรัฐบาลทันที 

          ป.ป.ช.สอบต่อแม้ประวิตรจะออก 
          ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานจากเลขาธิการ ป.ป.ช.ว่า พล.อ.ประวิตรทำหนังสือชี้แจงครั้งที่ 3 มาแล้วหรือยัง แต่จากที่เลขาธิการ ป.ป.ช.รายงานก่อนหน้านี้ ระบุว่า จะสอบพยานเสร็จในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนจะมีการเรียกสอบพยานเพิ่มเติมหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ โดยมีแนวทางปฏิบัติอยู่แล้ว และเมื่อสอบพยานเสร็จแล้วจะตั้งอนุกรรมการไต่สวนเลยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ว่าพยานหลักฐานเพียงพอหรือไม่ 

          ทั้งนี้ กรณี พล.อ.ประวิตรประกาศว่าพร้อมจะลาออกจากตำแหน่งถ้าประชาชนไม่ต้องการนั้น ถือเป็นเรื่องการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของ ป.ป.ช. เนื่องจาก ป.ป.ช.จะดำเนินการตามขั้นตอนและพยานหลักฐาน หรือถ้าลาออกจริงก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการพิจารณาคดี

          บิ๊กกุ่ยยื่นแจงศาลรธน.ปมต่ออายุ
          พร้อมกันนี้ พล.ต.อ.วัชรพล ยังกล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขอให้ตีความเรื่องการยกเว้นลักษณะต้องห้ามของกรรมการ ป.ป.ช. ตามร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ได้มีมติให้ส่งรายงานความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญ

          “ป.ป.ช.ยืนยันว่าการให้ดำรงตำแหน่งต่อไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้การดำรงอยู่ของกรรมการองค์กรอิสระขึ้นอยู่กับที่ประชุม สนช. แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร” ประธาน ป.ป.ช. กล่าว

          กลุ่มสกายวอลก์เลื่อนมอบตัวไป8ก.พ.
          ส่วนความคืบหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน ออกหมายเรียกแกนนำและผู้ชุมนุมบริเวณสกายวอล์ก สยามสแควร์ ในเขตพระราชฐาน รวม 39 คน โดยนัดมารับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้นั้น น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ 1 ใน 7 แกนนำ ผู้ต้องหาถูกออกหมายเรียก เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาเพียงรับทราบข้อกล่าวหาพร้อมกับประชาชน เบื้องต้นจะคัดค้านการฝากขัง เพราะ 1.ผู้ต้องหาไม่ได้มีเจตนาจะหลบหนี 2.ผู้ต้องหาเป็นพิษภัยกับสังคม 3.ผู้ต้องหายุ่งเหยิงกับคดี ซึ่ง 3 ข้อหานี้ไม่มีข้อไหนที่เข้าข่ายความผิดซึ่งไม่จำเป็นต้องนำตัวฝากขัง

          ต่อมาเวลา 13.30 น. กลุ่มผู้ชุมนุมที่ถูกออกหมายเรียกได้เดินทางเข้าไปภายใน สน.ปทุมวัน เพื่อพบพนักงานสอบสวนขอเลื่อนวันเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งทางพนักงานสอบสวนจะทำเรื่องออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ให้ผู้ชุมนุมทั้งหมด 39 คน รวมทั้งแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม 7 คน เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาทั้งหมดภายในวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ หากยังไม่มาพบพนักงานสอบสวนก็จะออกหมายจับตามรายชื่อต่อไป อย่างไรก็ตามในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ กลุ่มดังกล่าวก็ยังยืนยันที่จะชุมนุมเหมือนเดิมที่ราชดำเนิน

          สั่งเช็กโซเชียลปลุกกระแสต้าน
          ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงการตรวจสอบท่อน้ำเลี้ยงหรือกลุ่มผู้สนับสนุนการชุมนุมว่า เป็นเรื่องอยู่ในสำนวน เบื้องต้นได้ประสานให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ตรวจสอบ และส่งข้อมูลให้พนักงานสอบสวน ส่วนจะเข้าข่ายการฟอกเงินยังไม่พบข้อมูลดังกล่าว แต่ตำรวจต้องจับตาความเคลื่อนไหวบนโลกโซเชียลว่ามีการโพสต์เชิญชวนหรือเข้าข่ายปลุกระดมหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบว่ามีการติดต่อกับกลุ่มการเมืองด้วยหรือเปล่า แต่เบื้องต้นยังไม่พบความเคลื่อนไหวที่เป็นนัยสำคัญ

          ส่วนกรณีที่มีมวลชนออกมาเคลื่อนไหวให้กำลังใจ พล.อ.ประวิตรที่หน้ากระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ใกล้กับเขตพระราชฐาน ถือว่ามีความผิดเข้าข่ายการชุมนุมทางการเมือง จะต้องดำเนินการแบบเดียวกันกับกลุ่มผู้เคลื่อนไหวบริเวณสกายวอล์ก โดยเบื้องต้นจะแจ้งข้อหากับกลุ่มดังกล่าว 40 คนซึ่งเรื่องนี้ พล.อ.ประวิตรกำชับให้ดำนินการตามกฎหมายไม่ให้มีสองมาตรฐาน

          บิ๊กป๊อกยันไม่พบกลุ่มป่วนรัฐ
          พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการจับตาความเคลื่อนไหวทางการเมือง ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยว่า จากที่ได้สอบถามไปยังพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงตรวจสอบกับฝ่ายความมั่นคง ยังไม่พบการเคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็นกลุ่มผู้ชุมนุม หรือม็อบ

          “ผมได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ได้ทราบนโยบายว่า รัฐบาลได้เร่งทำงานเพื่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ประชาชนเป็นหลักในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความสงบสุข ความเรียบร้อยของบ้านเมือง และเรื่องเศรษฐกิจ รวมถึงทำงานให้อยู่บนความเข้าใจ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย” รมว.มหาดไทย กล่าว

          ต้องการเห็นภาพรวมจัดการน้ำ
          ที่ทำเนียบรัฐบาล วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ กนช. ครั้งที่ 1/2561 ถือเป็นครั้งแรกหลังมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ปรับปรุงองค์ประกอบ กนช. และออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ข้าราชการพนักงานราชการ และลูกจ้างประจำของกรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ำ มาปฏิบัติราชการ หรือปฏิบัติงานในสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติฉบับที่ 1 เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจะมีหน้าที่ปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตั้งแต่ 2560-2579 กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดสรรและควบคุมการใช้ทรัพยากรน้ำในสภาวะวิกฤติ รวมทั้งกำกับ ติดตาม ประเมินผล บูรณาการแผนแม่บท และแผนงบประมาณในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

          พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวก่อนการประชุมว่า สืบเนื่องจากสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่ และมีหน้าที่บูรณาการเรื่องการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เกี่ยวข้องกับรายกระทรวงด้วยกัน เพื่อจะทำให้บังเกิดผลทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวต่อไปในอนาคต จึงต้องมีการประชุมหารือกรอบการทำงาน แม้ว่าวันนี้ทำอะไรก็จะเป็นปัญหาไปหมด แต่ต้องทำให้ได้ ทำให้สำเร็จ เพราะเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน ที่จะทำเพื่อประเทศชาติของเรา ทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า

          มีรายงานแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีต้องการเห็นภาพรวมการบริหารจัดการน้ำตลอดทั้งแผน การแบ่งกลุ่มงบประมาณในแต่ละปีว่าจะนำไปใช้ในส่วนไหนบ้าง โดยจะแบ่งเป็นงบประมาณปกติ เช่น การปรับปรุง ซ่อมบำรุง ขยายแหล่งน้ำที่มีอยู่แล้ว และงบประมาณที่ใช้ในโครงการขนาดใหญ่ เช่น แผนสร้างคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ที่ใช้งบประมาณกว่าหมื่นล้านบาท รวมถึงชี้แจงให้เห็นถึงการใช้งบประมาณปกติจำนวน 5-6 หมื่นล้านบาทตั้งแต่ปี 2557-2558 ว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง และจะทำอะไรต่อไป รวมถึงในส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่แต่ละภาคเสนอมาจำนวน 20-30 โครงการนั้น ต้องนำมาพิจารณาว่าจะใช้งบประมาณเท่าไหร่ รวมถึงระยะเวลาดำเนินโครงการด้วย

          อ๋อยซัดคสช.เหลวสร้างปรองดอง
          นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก “Chaturon Chaisang” แสดงความเห็นเกี่ยวกับกรณี คสช.ออกมาเหวี่ยงแหแจ้งข้อหามวลชนกลุ่มต่างๆ ที่ออกมาจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวในช่วงนี้ โดยอ้างความผิดฐานขัดขืนคำสั่ง คสช. เรื่องการห้ามชุมนุมเกิน 5 คน และความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุม ว่า การที่ตำรวจดำเนินคดีกับผู้จัดกิจกรรม “We Walk เดินมิตรภาพ” เพื่อรณรงค์เรื่องหลักประกันสุขภาพ ทรัพยากร ความมั่นคงทางอาหาร และสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งดำเนินคดีกับกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตยที่ออกมาทวงถามการเลือกตั้ง และผู้ที่มารวมตัวกันชูป้ายสนับสนุน พล.อ.ประวิตร ถือเป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา คสช. ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ในการแก้วิกฤติความขัดแย้งของประเทศ

          คสช.ไม่ได้ทำให้เกิดความปรองดองขึ้นเลย ซ้ำร้ายคสช.ยังเป็นฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งเสียเองอย่างชัดแจ้ง ประเด็นที่เห็นแตกต่างกันอยู่ในสังคมขณะนี้เรื่องหนึ่งก็คือ คสช.ควรอยู่ในอำนาจต่อไปอีกนานเท่าใด ซึ่งก็คล้ายกับปัญหาว่า ใครควรเป็นรัฐบาลที่คนเห็นต่างกันมาตลอด

          “สังคมไทยยังไม่มีวิธีจัดการดูแลกับการที่คนมีความเห็นต่างกันอย่างสันติและเป็นธรรม และยังมีแนวโน้มจะเป็นวิกฤติบานปลาย คนที่อวดอ้างว่า จะเข้ามาแก้ปัญหาวิกฤติความขัดแย้งก็กลายเป็นฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งเสียเอง เท่ากับล้มเหลวในการสร้างความปรองดองอย่างสิ้นเชิงด้วย อยู่มาเกือบ 4 ปีแล้ว แก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย ยังจะวางแผนอยู่ต่ออีกเป็นสิบปี ใครจะยอม” นายจาตุรนต์ กล่าว

          ทนายปูจวกวิษณุพูดจาเกินเลย
          นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุถึงการยึดบ้านของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แล้วให้นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามี และนายศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ บุตรชาย ต้องจ่ายค่าเช่าด้วยว่า ในฐานะทนายความได้ฟังคำให้สัมภาษณ์แล้วรู้สึกสะเทือนใจ และเห็นใจอดีตนายกฯ เป็นอย่างยิ่ง บ้านก็ถูกยึดทั้งที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด และสามีกับลูกยังต้องมาจ่ายค่าเช่าในการอยู่บ้านของตัวเองอีก

          “การที่นายอนุสรณ์อยู่อาศัย ก็อยู่อาศัยในฐานะสามี และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และการที่น้องไปป์อยู่อาศัยก็อยู่ในฐานะบุตร ไม่ใช่ผู้เช่า จึงไม่เป็นเหตุที่บุคคลทั้งสองจะต้องจ่ายค่าเช่าให้แก่กระทรวงการคลัง คำให้สัมภาษณ์ของนายวิษณุที่ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมาย และแนวคำพิพากษาของศาลฎีกา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม  ในกระบวนการขั้นตอนทางกฎหมายยังมีขั้นตอนที่ต้องต่อสู้กันอีกหลายขั้นตอน” นายนรวิชญ์ ระบุ 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ