ข่าว

รัฐไฟเขียวก พ.ร.บ. ‘ทรัพย์อิงสิทธิ์’

รัฐไฟเขียวก พ.ร.บ. ‘ทรัพย์อิงสิทธิ์’

10 ม.ค. 2561

รัฐไฟเขียวก พ.ร.บ. ‘ทรัพย์อิงสิทธิ์’เพิ่มสิทธิ์ผู้เช่า เช่าชาย-จำนอง-โอนสิทธิ์ ได้ สัญญาไม่เกิน30ปี

 

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (9ม.ค.) เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยทรัพย์อิงสิทธิ์ พ.ศ.... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดย พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้เป็นการเพิ่มทางเลือกในการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินระหว่างเจ้าของกรรมสิทธิ์และผู้เช่าที่มีการทำสัญญากันไว้และเป็นการเพิ่มเติมข้อกฎหมายจาก พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ 2558 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าวยังมีข้อจำกัดในเรื่องการเช่าและสิทธิการเช่า และถือว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าของสัญญาโดยการตกลงเงื่อนไขระหว่างเจ้าของทรัพย์สินและผู้เช่าซึ่งทั้งสองฝ่ายสามารถไปทำสัญญาต่อกันใหม่ โดยมีพ.ร.บ.ว่าด้วยทรัพย์อิงสิทธิ์เป็นตัวเลือกเพิ่มเติมในการทำสัญญา ซึ่งจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมด้วย 

ส่วนสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ์กำหนดให้การใช้ทรัพย์อิงสิทธิ์เป็นการกำหนดทรัพย์อิงสิทธิ ผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิ์ต้องเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนด และเจ้าของห้องชุดเท่านั้นส่วนการจดทะเบียนทรัพย์อิงสิทธิ์ต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน โดยมีกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี ส่วนการออกหนังสือรับรองให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ์ โดยทำเป็นคู่ฉบับสามฉบับ ซึ่งการออกหนังสือรับรองนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่กำหนดโดยกฎกระทรวงกำหนดสิทธิของผู้ทรงทรัพย์อิงสิทธิ์ โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ 

ดังนี้การนำทรัพย์อิงสิทธิ์ออกให้เช่าสิทธิ์ ขาย จำนอง หรือโอนสิทธิ์ หรือตกทอดแก่ทายาทได้ และนำไปใช้เป็นหลักประกันการชำระหนี้โดยการจำนองได้ส่วนการดัดแปลง ต่อเติม ปลูกโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างได้ และเมื่อสัญญาได้เลิกหรือระงับ ให้ทรัพย์ซึ่งได้ทำการดัดแปลง ต่อเติม หรือปลูกสร้างไว้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิ เว้นแต่จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา กำหนดหน้าที่ของผู้ทรงทรัพย์อิงสิทธิ ต้องจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อปัดป้องภยันตรายแก่อสังหาริมทรัพย์ที่มีทรัพย์อิงสิทธิ หรือกรณีบุคคลภายนอกรุกล้ำเข้ามาในอสังหาริมทรัพย์ที่มีทรัพย์อิงสิทธิ หรือเรียกร้องสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งเหนืออสังหาริมทรัพย์ที่มีทรัพย์อิงสิทธินั้น และให้แจ้งเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ทราบโดยพลัน

“พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นการสร้างแรงจูงใจและความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนหรือนักธุรกิจที่จะนำเงินเข้ามาลงทุนหรือเข้ามาประกอบอาชีพในประเทศ ให้สามารถใช้สิทธิในอสังหาริมทรัพย์ ได้สะดวกและคล่องตัวยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าและเกิดสภาพคล่องในภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ อันจะก่อให้ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม”  นายณัฐพร กล่าว