
น้ำป่าถล่มชัยภูมิรองสองโคลนทะลักปิดถนน
น้ำป่าหลากบนเทือกเขาภูแลนคา ถล่มซ้ำรอบสอง โคลนทะลักปิดถนนสายชัยภูมิ-หนองบัวแดง ไหลผ่านพัดอ่างเก็บน้ำแตกชาวบ้านกว่า 500 หลังคาเรือนหนีกระเจิง เกษตรกรชาวนาพิจิตรถึงกับน้ำตาร่วง นาข้าวที่กำลังออกรวงสุกงอมใกล้เก็บเกี่ยวได้นับร้อยไร่ เจออิทธิพลพายุโซนร้อน กฤ
วันที่ 28 ก.ย. 52 เกิดเหตุน้ำป่าบนเทือกเขาภูแลนคาทะลักอีกระลอกสอง บริเวณถนนสายชัยภูมิ-หนองบัวแดง ช่วงวัดผาเกิ้ง ต.กุดชุมแสง อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ ทำให้มีโคลนถล่มลงมาปิดถนน จนเจ้าหน้าที่จากกรมทางหลวงต้องเร่งระดมเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องจักร เข้าขุดตักดินที่ถล่มลงมาปิดถนนเป็นการด่วน และล่าสุดสามารถเปิดเส้นทางให้ประชาชนสัญจรไปมาได้แล้วเพียง 1 เลน และประกาศเตือนประชาชนที่จำเป็นต้องใช้เส้นทางผ่านถนนสายชัยภูมิ-หนองบัวแดง ก่อนถึงช่วงวัดผาเกิ้งระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ให้ระมัดระวังดินโคลนถล่มลงมาในช่วงนี้
ขณะที่น้ำป่าจากเทือกเขาภูแลนคา ยังหลากทะลักไหลผ่านเข้าถล่มอ่างเก็บน้ำบ้านห้วยต้อน หมู่ 10 ต.ห้วยต้อน เมืองชัยภูมิ จนแตกเสียหายอีก 2 แห่งชาวบ้านต้องวิ่งหนีตายกันอลหม่าน หลังเคยเกิดเหตุน้ำป่าถล่มใน ต.ห้วยต้อน ถนนและสะพานขาดเสียหายมาแล้วกว่า 3 แห่ง ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา
นายจันทร์เพ็ง ไพศาลธรรม ชาวบ้านห้วยต้อน หมู่ 10 ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้อ่างเก็บน้ำที่แตกมากที่สุด เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่ากลัวมาก ได้ยินเสียงคลื่นน้ำขนาดใหญ่พัดมากลืนสันเขื่อนอ่างเก็บน้ำหายไปในพริบตา โชคดีไม่มีคนในบ้านได้รับอันตราย เนื่องจากยังมีฝายเก็บน้ำอีกแห่งที่ตั้งอยู่ทางเข้าหมู่บ้านที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้นกั้นน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้งเป็นฝายดินช่วยเบรกแรงทะลักของน้ำป่าไว้ ก่อนที่จะถึงอ่างเก็บน้ำห้วยต้อน ที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านตน ไม่เช่นนั้นคงไม่มีชีวิตรอดแน่
สำหรับอ่างเก็บน้ำห้วยต้อน หมู่ 10 ก่อสร้างขึ้นมาได้ประมาณ 5-6 ปี แล้ว เพื่อช่วยเก็บกักน้ำไว้ใช้ทำการเกษตรของคนในหมู่บ้านกว่า 500 หลังคาเรือน เนื้อที่การเกษตรกว่า 5,000 ไร่ ในการรับน้ำจากแม่น้ำชี ผ่านคลองชีลอง จากเทือกเขาภูแลนคา ผ่านต.ห้วยต้อน ก่อนที่จะไหลไปสู่อ่างเก็บน้ำช่อระกา
ด้านสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจ.ชัยภูมิ แจ้งเตือนประชาชน ในพื้นที่เสี่ยงอ.หนองบัวแดง และอ.เมืองชัยภูมิ จากปริมาณน้ำในเขื่อนลำปะทาว อ.แก้งคร้อ ทั้งตอนบน ความจุ 44 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนฯล่าง 16 ล้าน ลบ.ม. ขณะนี้มีความจุเต็มหมดแล้ว และยังมีระดับน้ำล้นสันเขื่อนฯอยู่ที่ 35 ซม. ที่จะไหลผ่านเขื่อนเข้าสู่เขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ ในช่วงนี้ และถ้าหากในช่วงวันที่ 29-30 ก.ย.นี้ ถ้าจ.ชัยภูมิได้รับอิทธิพลจากพายุกฤษณา และเกิดฝนตกหนักอาจจะทำให้เขื่อนรับน้ำไม่ไหว และจำเป็นต้องปล่อยน้ำลงมา ขอให้ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ เตรียมขนย้ายสิ่งของมีค่าขึ้นที่สูงไว้ก่อน เพื่อรับมือน้ำท่วมเมืองระลอกสอง และขอให้ติดตามข่าวประกาศแจ้งเตือนจากทางจังหวัดอย่างใกล้ชิดด้วยในช่วงนี้
นาข้าว100ไร่ในจ.พิจิตรรับความเสียหายจากพายุกฤษณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลกระทบจากพายุโซนร้อน “กฤษณา ” ทำให้พื้นที่หลายจังหวัดทางภาคเหนือตอนล่างและพื้นที่จังหวัดพิจิตร มีฝนตกชุกและตกสะสมต่อเนื่องกัน โดยเฉพาะบนเทือกเขาเพชรบูรณ์ในเขตจังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ ที่มีฝนตกสะสมเป็นจำนวนมากจนทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากลงสู่ที่ลุ่มต่ำในเขตจังหวัดพิจิตร ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนรวมทั้งพื้นที่การเกษตร ถูกน้ำท่วมได้รับความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะพื้นที่ อำเภอสากเหล็ก เสียหาย 3 ตำบล คือ ตำบลท่าเยี่ยม ตำบลคลองทราย ตำบลวังทับไทรน้ำท่วมบ้าน 50 หลังคาเรือน ไร่นาเสียหายอยู่ระหว่างการสำรวจ
นอกจากนี้น้ำป่ายังไหลหลากเข้าท่วม ในเขต อำเภอเมือง พิจิตรทั้ง 3 ตำบลของอำเภอเมือง คือ ตำบลท่าฬ่อ ตำบลป่ามะคาบและตำบลปากทาง ซึ่งถูกน้ำป่าจากจังหวัดพิษณุโลกที่ไหลหลากมาตามลำคลองธรรมชาติ แต่ไม่สามารถไหลระบายลงสู่แม่น้ำน่านที่มีระดับสูงได้ จึงเกิดน้ำหนุนเอ่อกับน้ำฝนที่ตกสะสมในพื้นที่ ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่การทำนาเพาะปลูกข้าวใน 3 ตำบลกว่า 100 ไร่ได้รับความเสียหาย เนื่องจากนาข้าวที่ถูกน้ำป่าทะลักเข้าท่วมนั้นเป็นนาข้าวที่กำลังออกรวงสุกงอมใกล้ที่จะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงสิ้นเดือนนี้ แต่ก็มาถูกน้ำป่าหลากเข้าท่วมจนต้นข้าวและรวงข้าวล้มลงจมน้ำเสียหายทั้งหมด
เตือนอ่าวไทย-อันดามันฝนเพิ่มลมแรงอิทธิพล"กฤษณา"
นายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย ผอ.ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก เปิดเผยว่า จากการรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา กรณีประเทศไทยอาจจะได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อนกิสนา ที่ก่อตัวบริเวณทะเลจีนใต้ และกำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก อาจทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้นระหว่างคืนวันที่ 29 ถึงเช้าวันที่ 30 กันยายนนี้ สำหรับพื้นที่ภาคใต้ทั้งฝั่งอันดามัน และอ่าวไทยจะไม่ได้รับอิทธิพลดังกล่าวโดยทางอ้อม
ผอ.ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก กล่าวต่อว่า ทั้งนี้จากการติดตามสภาวะความเคลื่อนไหวพายุโซนร้อนกิสนาอาจเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งเวียดนาม และเข้าประเทศลาว ซึ่งผลพวงดังกล่าวจะทำให้พื้นที่อีสานได้รับอิทธิพลทำให้มีฝนตกหนักได้ ส่วนภาคใต้ทั้งฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตกจะมีปริมาณฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้นจากเดิม เช่นเดียวกับลมมรสุมจะมีกำลังแรงจากเดิม คลื่นลมในทะเลมีระดับสูงขึ้นแต่ไม่ถึงขั้นรุนแรงซึ่งก็ต้องเฝ้าระวัง
“สถานการณ์จากสภาวะดังกล่าวทำให้มีปริมาณฝนตกและความเร็วลมเพิ่มขึ้นจากเดิม แม้จะไม่อยู่ในขั้นวิกฤตหรือันตรายแต่จำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะชาวประมงที่ออกเดินเรือในช่วงนี้ที่ไม่ควรประมาท อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนติดตามการรายงานพยากรณ์อากาศ และประกาศเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดในขณะนี้ เพื่อทราบความเคลื่อนไหวของสภาพอากาศได้ทุกระยะ ”ผอ.ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก กล่าว