ข่าว

มากี่ครั้งก็น้ำตาไหลคิดถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ทุกครั้ง

มากี่ครั้งก็น้ำตาไหลคิดถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ทุกครั้ง

01 ส.ค. 2560

เกิดมาชาติหนึ่งต้องทดแทนแผ่นดินและจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

          วันที่ 1 สิงหาคม 2560 บรรยากาศในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเปิดให้ประชาชนเข้าราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นวันที่ 272 ยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง

มากี่ครั้งก็น้ำตาไหลคิดถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ทุกครั้ง

นางปรีนา แสงแก้ว-นายพฤทธิ์ วทิยาพันธ์ประชา (ที่สองและคนแรกจากขวา)

    นายพฤทธิ์ วิทยาพันธ์ประชา พนักงานเอกชน วัย 30 ปี เล่าว่า โดยส่วนตัวเดินทางมากราบพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชหลายครั้งแล้ว และวันนี้พาคุณลุงคุณป้าและญาติๆ จากจังหวัดสงขลา มากราบพระบรมศพ อีกครั้ง เหตุเพราะได้รับการปลูกฝังจากครอบครัวซึ่งรับราชการเกือบทั้งหมดให้จงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ต่อพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ มาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้รู้สึกผูกพันต่อพระองค์มากี่ครั้งก็รู้สึกปีติทุกครั้  

         "ถ้าถามว่ายึดคำสอนของพระองค์ท่านในข้อใดบ้างนั้น ตัวเองมีสองข้อที่ถือปฏิบัติมาโดยตลอดคือ ความขยันหมั่นเพียรและความซื่อสัตย์สุจริต ส่วนความประทับใจนั้น ตัวเองรู้สึกประทับใจพระราชจริยวัตรของในหลวงรัชกาลที่ 9 มากที่สุด โดยเฉพาะในข้อที่ทรงไม่ถือพระองค์กับประชาชน ซึ่งเมื่อครั้งที่ตัวเองเรียนจบใหม่ๆ แล้วได้ทำงานที่บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งต้องรับผิดชอบในพื้นที่ภาคอีสานและประเทศสาธารณรัฐประชาชนลาว ทำให้มีโอกาสได้เห็นการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร รวมถึงงานในโครงการพระราชดำริต่างๆ ในภาคอีสาน ตัวเองในฐานะที่เป็นพนักงานของบริษัทเกี่ยวกับด้านการเกษตรในขณะนั้น ก็ได้น้อมนำแนวพระราชดำริของพระองค์ในเรื่องเกษตรผสมผสาน การทำบัญชีรายรับรายจ่าย ส่งต่อให้กับเกษตรกรได้ทดลองปฏิบัติด้วยเช่นกัน"

  

          เช่นเดียวกับนางปรีณา แสงแก้ว อดีตข้าราชการครู วัย 70 ปี เล่าว่า พ่อและแม่สั่งสอนตัวเองและพี่น้องมาตลอดในข้อที่ว่า เกิดมาชีวิตหนึ่งต้องทดแทนคุณแผ่นดิน และต้องจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนคนไทยอย่างล้นพ้น

    "มากราบพระบรมศพในหลวงรัชกาที่ 9 เป็นครั้งที่ 5 แล้ว มาทุกทีก็น้ำตาไหลด้วยความคิดถึงพระองค์ทุกครั้ง สำหรับตัวเองส่ิงที่เป็นเกียรติประวัติซึ่งไม่อาจลืมจนชั่วชีวิต คือการมีโอกาสได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร จากพระหัตถ์ของพระองค์ เมื่อปี 2515  ขณะเดียวกัน พระองค์ไม่เพียงจะทรงเป็นต้นแบบในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตแล้ว ในด้านการทรงงานอย่างเต็มที่ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ตัวเองยึดถือปฏิบัติตลอดชีวิตข้าราชการครู แม้ว่าในบางครั้งจะเหน็ดเหนื่อยกับเด็กๆ มากแค่ไหน พอนึกถึงพระองค์แล้ว ความเหนื่อยความเครียดเหล่านี้จะค่อยๆ ผ่อนคลายลง เพราะเราเห็นแล้วว่าพระองค์ทรงงานหนักกว่าเรามากมายเหลือเกิน ดังนั้นเวลาสอนเด็กๆ จึงเน้นเรื่องความซื่อสัตย์ การรู้จักหน้าที่ของตัวเอง และที่สำคัญคือ ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รองลงมาสถาบันครอบครัวซึ่งต้องรักและเทิดทูนเป็นสิ่งแรกอยู่แล้ว" นางปรีณา กล่าวทั้งน้ำตา