ครม. เห็นชอบรถไฟไทย-จีน 1.79 แสนล้านบาท เล็งเปิดเดินรถปลายปี 64
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าวันที่ 11 ก.ค.60ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟไทย-จีน ระยะที่ 1 เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 252.3 กิโลเมตร กรอบวงเงินลงทุน 179,413 ล้านบาท ซึ่งไทยจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด
นอกจากนี้ที่ประชุม ครม. สั่งให้เพิ่มเติมใน 2 ประเด็น ได้แก่ การจัดทำแผนถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้หารือกับฝ่ายจีนแล้วว่าจะต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ คือ ตั้งแต่การผลิตบุคลากรระดับมหาวิทยาลัยเพื่อป้อนให้อุตสาหกรรมระบบรางทั้งหมด รวมถึงตั้งคณะกรรมการกลางบริหารเพื่อโครงการ เพราะการพัฒนารถไฟความเร็วสูงต้องพัฒนาพื้นที่รอบสถานีและเมืองด้วย
หลังจากนี้ฝ่ายไทยจะรายงานรายละเอียดโครงการให้ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับทราบ ขณะเดียวกันฝ่ายไทยและจีนจะต้องลงนามสัญญาฉบับที่ 2.1 ด้านการออกแบบและสัญญาฉบับที่ 2.2 การควบคุมงานโยธาภายในเดือน ก.ย. เพื่อให้เริ่มก่อสร้างช่วง 3.5 กิโลเมตรแรกในเดือน ต.ค. ส่วนที่เหลือจะทยอยเปิดประมูลก่อสร้างตามมา
“ถ้าวันนี้เราเริ่มก่อสร้าง ก็นับออกไปอีก 4 ปีหรือประมาณปลายปี 2564 ก็น่าจะเปิดให้บริการได้ทั้งเส้นทาง คราวนี้เราจะเร่งให้สุดๆ และเราไม่ได้สร้างรถไฟความเร็วสูงแค่ 3.5 กิโลเมตร ผมย้ำนิดนึง เพราะมีท่านผู้ใหญ่ให้ข่าวว่าสร้างรถไฟแค่ 3.5 กิโลเมตรมันไม่มีประโยชน์ ย้ำอีกทีว่าไม่มีประเทศไหนสร้างรถไฟความเร็วสูงมาวิ่งแค่ 3.5 กิโลเมตร ” นายอาคม
ปีแรกที่เปิดให้บริการเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา คาดว่าจะมีปริมาณผู้โดยสาร 5,310 คน-เที่ยวต่อวันและเพิ่มเป็น 26,830 คน-เที่ยวต่อวันภายใน 30 ปีข้างหน้า หรือ 2594 โดยรถไฟจะทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาวิ่ง 1 ชั่วโมง 17 นาที และออกวิ่งทุกๆ 90 นาที
ตลอดเส้นทางจะมีทั้งหมด 6 สถานี ได้แก่ สถานีกลางบางซื่อ สถานีดอนเมือง สถานีอยุธยา สถานีสระบุรี สถานีปากช่อง และสถานีนครราชสีมา ส่วนอัตราค่าโดยสารควรอยู่ที่ 80 บาท บวกเพิ่มกิโลเมตรละ 1.8 บาท เบื้องต้นอัตราค่าโดยสารสถานีกลางบางซื่อไปสถานีอยุธยาอยู่ที่ 195 บาทต่อกิโลเมตร, สถานีสระบุรีอยู่ที่ 278 บาทต่อกิโลเมตร, สถานีปากช่องอยู่ที่ 393 บาท และสถานีนครราชสีมา 535 บาท ซึ่งกระทรวงคมนาคมต้องพิจารณาอีกครั้งเพื่อให้ไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป เพราะโครงการใช้เงินลงทุนมหาศาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง