ข่าว

5 แข้งแจ้งดับกับ “เอซี มิลาน”

5 แข้งแจ้งดับกับ “เอซี มิลาน”

07 ก.ค. 2560

เปิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับตลาดการซื้อ-ขายนักเตะของฟุตบอลลีกยุโรป ประจำช่วงซัมเมอร์นี้ ซึ่งหลายทีมดังก็ได้ทำการขยับในการซื้อและขายนักเตะเป็นจำนวนมาก

     โดยในจำนวนนั้น มีดีลที่น่าสนใจ เช่น แบร์นาโด ซิลวา กองกลางพรสวรรค์ของ โมนาโก ที่ย้ายไปอยู่ แมนฯซิตี ด้วยค่าตัว 43 ล้านปอนด์ (ราว 1,935 ล้านบาท) รวมไปถึง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ปีกความเร็วสูงของ โรมา ที่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 34.3 ล้านปอนด์ (ราว 1,482 ล้านบาท)

     ในบรรดาทีมชื่อดังของยุโรป มีอยู่ 1 ทีม ที่ทำการเสริมทัพนักเตะไปแล้วมากมาย แม้ตลาดซื้อ-ขาย จะเปิดอย่างเป็นทางการเพียงแค่ 6 วันเท่านั้น นั่นก็คือ “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลาน ที่ซื้อนักเตะเข้ามาร่วมทีมแล้ว 6 คน ประกอบด้วย มาเตโอ มูซัคคิโอ, ฟรองค์ เคสซี, ริคาร์โด โรดริเกวซ, อังเดร ซิลวา, ฟาบิโอ บอรินี และ ฮาคาน ชัลฮาโนกลู ภายใต้งบประมาณกว่า 100 ล้านปอนด์ (ราว 4,323 ล้านบาท)

     สำหรับสาเหตุแห่งการเสริมทัพแบบหนักหน่วงเช่นนี้ เนื่องจากประธานสโมสรคนใหม่อย่าง หลี่ หยงคง นักธุรกิจชาวจีน เจ้าของกลุ่มทุนรอสโซเนรี สปอร์ต อินเวสต์เมนต์ ลักซ์ ได้ลั่นวาจาว่า ต้องการนำทีม “ปีศาจแดงดำ” กลับมาเป็นสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอีกครั้งให้ได้

     ก่อนหน้านี้แข้งหลายคนที่ย้ายมาค้าแข้งกับทีม เอซี มิลาน ก็กลายเป็นนักเตะระดับตำนาน ที่ได้รับการยกย่อง และอยู่ในใจของแฟนบอล มาแล้วหลายต่อหลายคน ทั้ง 3 ทหารเสือแห่งฮอลแลนด์ อย่าง รุท กุลลิท , มาร์โก แวน บาสเทน และ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด รวมถึงนักเตะในยุคถัดมา เช่น รุย คอสตา, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, อังเดร เชฟเชนโก และ ริคาร์โด กาก้า

     แต่ถึงกระนั้นก็มีแข้งชื่อดังหลายคน ที่ไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ตามที่คาดหวังในถิ่นซาน ซิโร่ และกลายเป็นดาวดับในทีมจนต้องย้ายออกไป ก่อนจะประสบความสำเร็จกับทีมอื่นแทน

ฟาบริซิโอ โคลอชชินี
     กองหลังที่มีจุดเด่นตรงที่ทรงผมรายนี้ เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีม “ปีศาจแดงดำ” หลังเจ้าตัวย้ายทีม โบคา จูเนียร์ส ในอาร์เจนตินา มาค้าแข้งในยุโรปครั้งแรกเมื่อปี 1999 ซึ่งการย้ายทีมของเขายังเป็นการซื้อ-ขายแบบไม่ถูกต้อง เนื่องจาก มิลาน ไปตกลงกับพ่อของ โคลอชชินี แต่ไม่ได้ตกลงกับสโมสร จนสุดท้ายต้องการเป็นคดีความที่ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ต้องเข้ามาจัดการ
     อย่างไรก็ตามเพียงปีแรกที่ โคลอชชินี เข้ามาอยู่ในถิ่นซาน ซิโร เขาก็ถูกปล่อยให้ ซาน ลอเรนโซ ทีมในบ้านเกิดยืมตัวไป เท่านั้นยังไม่พอในอีก 3 ซีซั่นต่อมา เขาก็ถูก เอซี มิลาน ปล่อยให้อีก 3 ทีม ประกอบด้วย อลาเบส, แอตฯ มาดริด และ บียาร์เรอัล จนสุดท้ายหลังจากที่ได้มีโอกาสลงสนามให้ เอซี มิลาน ในแมตช์อย่างเป็นทางการเพียงแค่ 1 นัด โคลอชชินี ตัดสินใจยกเลิกกสัญญากับทีม และย้ายไปอยู่กับ เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญา ในปี 2004 ก่อนจะย้ายมาสร้างชื่อกับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในปี 2008

โรแบร์โต อยาลา
     อีกหนึ่งปราการหลังชื่อดังของอาร์เจนไตน์ ที่เคยมาค้าแข้งอยู่ในถิ่น ซาน ซิโร่ ซึ่งหลังจากที่เจ้าตัวทำผลงานได้โดดเด่นกับทีม นาโปลี ในปี 1995-1998 ด้วยการทำสถิติลงสนามทั้งหมด 87 นัด ส่งผลให้ เอซี มิลาน คว้าตัวเขามาร่วมทีมในปี 1999
     ในซีซั่นแรกที่ อยาลา มาอยู่กับทีม “ปีศาจแดงดำ” เขาก็ได้ลงสนามเป็นตัวหลักของทีมทันที โดยได้ยืนคุมแนวรับกับ อเลสซานโดร คอสตาคูร์ตา และ เปาโล มัลดินี 2 กองหลังระดับตำนานของทีมชาติอิตาลี ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้ดีจนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์กัลโช เซเรีย อา มาครองได้ แต่แล้วในซีซั่นต่อมา อัลแบร์โต้ ซัคเคโรนี กุนซือของ มิลาน ในขณะนั้นกลับเลือกใช้กองหลังคนอื่นๆลงสนามแทนเจ้าตัว เหตุผลเพราะสไตล์การเล่นของ อยาลา ที่ช้าเกินไป ทำให้เขาต้องหลุดเป็นตัวสำรองโดยตลอดนับจากนั้น
     โดยในปี 2000 บาเลนเซีย ก็ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขอคว้าตัวเขาไปในราคา 6.25 ล้านปอนด์ (270 ล้านบาท) ทำให้เขาสิ้นสุดการค้าแข้งกับ มิลาน ไว้ด้วยสถิติลงสนาม 24 นัดเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังจากที่ อยาลา ไปอยู่กับทีม “ไอ้ค้างคาว” เขาก็โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม และกลายเป็นตำนานสโมสรดังกล่าว ด้วยสถิติการลงสนาม 188 นัดตลอด 7 ฤดูกาล และก้าวขึ้นเป็น 1 ในกองหลังที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดของทีม “ฟ้าขาว” มาจนถึงปัจจุบัน

โจวานนี เอลแบร์
     กองหน้าระดับพระกาฬที่สร้างชื่อกับทีม “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ที่น้อยคนนักจะรู้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยอยู่กับ เอซี มิลาน ด้วย ซึ่งทีม “ปีศาจแดงดำ” ถือว่าเป็นสโมสรแรกที่เจ้าตัวย้ายมาค้าแข้งในยุโรป หลังถูกดึงตัวมาจาก ลอนดรินา เอสปอร์เต คลับ สโมสรในบราซิลบ้านเกิดเมื่อปี 1990
       อย่างไรก็ตาม เส้นทางการค้าแข้งในยุโรปเป็นครั้งแรกของ เอลแบร์ ที่ขณะนั้นมีอายุเพียง 18 ปี ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และเชื่อว่าเป็นประสบการณ์ที่เจ้าตัวไม่อยากจำ เนื่องจากเขาไม่ได้รับโอกาสให้ลงสนามกับทีมเลยแม้แต้เกมเดียว จนในปีต่อมาเขาต้องย้ายไปอยู่กับทีม กราสฮ็อปเปอร์ ซูริค แบบยืมตัว 3 ซีซั่น
     และถึงแม้เขาจะโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมกับทีมดังจากสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยการทำไปถึง 41 ประตูจากการลงสนาม 69 นัด แต่ เอลแบร์ ก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแล และให้โอกาสจากทีมดังแห่งมิลาน จนสุดท้ายในปี 1994 เขาก็ตัดเก็บกระเป๋าออกจากถิ่นซาน ซิโร่ ไปอยู่กับ สตุ๊ตการ์ท ในเยอรมัน ก่อนจะสร้างชื่อกับ บาเยิร์น มิวนิค ในเวลาต่อมา โดยไม่เคยลงสนามให้ เอซี มิลาน เลยแม้แต่นาทีเดียว

ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง
     หนึ่งในหัวหอกที่มีฝีเท้าติดอันดับต้นๆของโลกในปัจจุบัน ก็เคยได้ค้าแข้งอยู่ในถิ่นซาน ซิโร่ มาแล้ว โดยเจ้าตัวเข้ามาอยู่ในทีมเยาวชนของเอซี มิลาน ตั้งแต่ปี 2007 และได้ลงสนามเป็นตัวหลักของทีมมาตลอด

     แต่ด้วยความที่ตอนนั้น “ปีศาจแดงดำ” มีแต่กองหน้าระดับโลกอยู่ในทีม ทำให้ โอบาเมยอง ไม่สามารถขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ได้ จนต้องถูกปล่อยยืมตัวให้กับ ดิฌง ในฝรั่งเศส
     เช่นเดียวกับอีก 3 ซีซั่นต่อมา เขาก็ยังถูกปล่อยยืมตัวต่อเนื่องอีก 3 ทีมในแดนน้ำหอม ทั้ง ลีลล์, โมนาโก และ แซงต์ เอเตียน โดยไม่มีสัญญาณว่าจะได้มีส่วนร่วมในทีมชุดใหญ่ของ “รอสโซเนรี” และไม่มีโอกาสได้ลงสนามเลยแม้แต่เกมเดียว
     จนกระทั่งปี 2011 แซงต์ เอเตียน ก็ได้เซ็นสัญญาหัวหอกทีมชาติกาบองรายนี้มาร่วมทัพอย่างถาวร และถือเป็นการเริ่มเส้นทางการเป็นซูเปอร์สตาร์ลูกหนังของเขาอย่างแท้จริง

ปาทริค วิเอรา
    น้อยคนนักจะรู้ว่าสุดยอดมิดฟิลด์ตัวตัดเกมรายนี้ เคยอยู่กับ เอซี มิลาน ในช่วงสั้นๆ ก่อนจะย้ายไปอยู่กับทีม อาร์เซนอล และสร้างชื่อเสียงจนกลายเป็นตำนานที่แฟนลูกหนังยังพูดถึงอยู่จนถึงทุกวันนี้
    โดย วิเอรา ย้ายมาอยู่ในถิ่นซาน ซิโร จากทีม ก็อง ในบ้านเกิดเมื่อปี 1995 ซึ่งขณะนั้นดาวเตะวัย 20 ปีได้รับการจับตามองอย่างมากว่าจะเป็นสตาร์คนใหม่ของทีม หลังโชว์ฟอร์มได้สะดุดตา และขึ้นเป็นกัปตันทีมของ ก็อง ได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีเท่านั้น
    อย่างไรก็ตาม วิเอรา กลับไม่สามารถทำผลงานได้อย่างใจหวัง ด้วยการลงสนามเป็นตัวจริงให้ทีมเพียงแค่ 2 เกมเท่านั้นตลอด 1 ซีซั่น จนกระทั่งย้ายไปอยู่กับ “ปืนใหญ่” ของกุนซือ อาร์แซน เวนเกอร์ ในปีต่อมา ด้วยค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์ (151 ล้านบาท)

     ทั้งหมดที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ รวมไปถึงในวงการลูกหนัง เพราะไม่ใช่ว่านักเตะดังที่คว้าตัวเข้ามาสู่ทีมนั้นจะทำผลงานได้ดี และคุ้มค่าเม็ดเงินที่เสียไปทุกคน แต่ต้องขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้ง แผนการเล่นของทีม, สไตล์ของนักเตะ รวมถึงฟอร์มการเล่นในการลงสนาม ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่านักเตะรายนั้นจะเข้ากับทีมใหม่ได้ดีเพียงใด