
“ศิริชัย"เปิดใจหลังพลาดเก้าอี้ปธ.ศาลฏีกา
“ศิริชัย วัฒนโยธิน”ประธานศาลอุทธรณ์เปิดใจครั้งแรกยืดอกพร้อมรับมติไม่ผ่านการเลือกขึ้นประธานศาลฎีการอบแรก ไม่คาใจฟ้องกลับ อนุ ก..ต.- ก.ต. เผยก็รู้สึกบ้าง
6 ก.ค.60 นายศิริชัย วัฒนโยธิน ประธานศาลอุทธรณ์ ผู้ที่ไม่ผ่านการเลือกเป็นประธานศาลฎีการอบแรก ซึ่งยังมีเวลาดำรงตำแหน่งบริหารอีก 1 ปีก่อนเกษียณราชการในวัย 65 ปี ได้จัดแถลงข่าวว่า สืบเนื่องจากที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง พาดหัวข่าวว่าตนจะฟ้องคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) นั้น ซึ่งในเนื้อหาของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวก็จะมี 2 ประเด็น ประเด็นแรก คือเรื่องที่บอกว่าตนจะฟ้อง ก.ต. และ อนุ ก.ต. จากเหตุที่ตนได้รับเสนอชื่อขึ้นเป็นประธานศาลฎีกาแต่ อนุ ก.ต. และ ก.ต.มีมติไม่เห็นชอบ และประเด็นที่ 2 คือเรื่องที่เมื่อตนไม่ได้เป็นประธานศาลฎีกาแล้ว ตนควรจะไปอยู่ตำแหน่งไหน
“ต้องชี้แจงว่าในระบบของศาลยุติธรรม มี ก.ต.เป็นผู้พิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายผู้พิพากษา และเมื่อพิจารณาเป็นที่สุดแล้วจะไม่มีองค์กรใดทบทวนได้อีก ซึ่งตนรับราชการที่ศาลยุติธรรมมาตั้งแต่ปี 2522 ได้รับรู้ถึงกติกา เมื่อ ก.ต.มีมติไม่ให้ตนเป็นประธานศาลฎีกา ตนก็ยอมรับ เพราะว่าในเมื่อเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าตนไม่เหมาะสมก็ไม่ติดใจ ในความคิดของตนตอนนี้ไม่มีความคิดที่จะฟ้อง ส่วนประการที่ 2 ที่ตนจะดำรงตำแหน่งใดต่อไป ตามประเพณีและแนวปฏิบัติก็เคยมีผู้ถูกเสนอชื่อเป็นประธานศาลฎีกา ก็เคยมีมติจาก ก.ต.ไม่เห็นชอบขึ้นเป็นประธานศาลฎีกามาแล้วในอดีต ก็ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ที่เดิม ซึ่งตนก็คงจะดำรงตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์เช่นเดิมอย่างทุกคนที่เคยเป็นมา จะไปพูดว่าตนจะไปที่อื่นก็คงจะไม่ใช่”
ภายหลังการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการแล้ว นายศิริชัย วัฒนโยธิน ประธานศาลอุทธรณ์ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชน ถึงความรู้สึกที่ไม่ได้รับความเห็นชอบเป็นประธานศาลฎีกาด้วยว่า
“ตนยังไม่ได้บรรลุอรหันต์ถือเป็นคนธรรมดา ตนเรียนจบนิติศาสตร์บัณฑิต ม.รามคำแหง ก็พยายามที่จะเป็นแนวทางให้รุ่นน้อง และมีการวางตัวดีมาตลอด พยายามสร้างชื่อเสียงไม่ให้บัณฑิตรามคำแหงเสียชื่อเสียง แล้วเรียนต่อปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถสอบบรรจุได้เป็นนิติกรประจำกรมแรงงานในสมัยนั้น ก็คิดว่าถ้าตนได้เป็นประธานศาลฎีกาก็จะเป็นประธานศาลฎีกาคนแรกของมหาวิทยาลัยรามคำแหงและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็หวังไว้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาด้วย แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็คงมีความรู้สึกอยู่บ้าง”
ต่อข้อถามที่ว่าหลัง 30 ก.ย.นี้จะยังดำรงตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ต่อไปใช่หรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า ก็คงจะเป็นเหมือนแนวเดิมที่มีการเสนอประธานศาลอุทธรณ์ขึ้นเป็นประธานศาลฎีกาแต่ไม่ได้รับแต่งตั้ง ก็กลับมาเป็นประธานศาลอุทธรณ์
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าอาวุโสสูงสุดแต่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว นายศิริชัย กล่าวว่า ในอดีตก็เคยมีที่ไม่ได้ ส่วนเหตุผลที่ไม่เห็นชอบอย่างไรบ้างนั้นรายงานกระบวนการประชุมยังไม่ออก เราก็เพียงทราบว่าไม่เห็นชอบ
เมื่อถามย้ำว่ายังติดใจในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ต. และอนุ ก.ต. คนใดหรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า ก็ไม่ได้คิดอะไร เมื่อมันจบแล้วก็ให้มันจบเลย เราก็ต้องเคารพกติกา
ส่วนที่การประเมินหรือกลั่นกรองคุณสมบัติที่ไม่ผ่านนั้นมองว่าจะมีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ต่อไปอีก 1 ปีหรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า “ เข้าใจว่าไม่มี เพราะเหตุที่มันเกิดขึ้นมันเป็นช่วงรอยต่อระหว่างการรับตำแหน่ง ในเมื่อมันมีคดีโอนมา และตนมองว่ามันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น เป็นเรื่องเกือบ 2 ปีมาแล้ว และช่วงนี้ก็คงจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก มันเป็นเรื่องระหว่างประธานศาลอุทธรณ์คนก่อนกับตน แต่ถ้าเป็นเรื่องของตนก็จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น การเป็นผู้พิพากษาหรือการเป็นประธานศาลอุทธรณ์มีแนวทางในการดำเนินการกระบวนพิจารณา ซึ่งการออกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นศาลสูง จะมีระเบียบขั้นตอนที่ถี่ถ้วนมาก เพื่อให้ความเป็นธรรม ”
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีการร้องเรียนต่ออนุก.ต.ในเรื่องที่ปรากฏเป็นข่าวนั้นมีความจริงเป็นอย่างไร นายศิริชัย กล่าวว่า “ การพิจารณาคดีของเรา มีขั้นตอนคือเมื่อเราได้รับสำนวนมา เราก็จะจ่ายสำนวนกับผู้พิพากษา ซึ่งผู้พิพากษาก็จะไปประชุมปรึกษาปรึกษากันแล้วเขียนคำพิพากษาออกมาและมีผู้ช่วยผู้พิพากษาคอยช่วยตรวจตามที่มีการอุทธรณ์ขึ้นมา แล้วก็ยังมีผู้ช่วยใหญ่คอยช่วยตรวจอีก เมื่อตรวจแล้วพบว่าไม่ถูกต้องก็อาจจะมีการทักท้วง ถ้าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบก็จะเสนอส่งไปให้ผู้บริหารเพื่อจะพิจารณาอีกทีว่าร่างดังกล่าวมันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ถ้าชอบก็ใช้ได้เลย แต่ถ้าเรื่องสำคัญก็จะส่งให้ประธานศาลอุทธรณ์เป็นผู้สั่ง เขาก็จะเสนอขึ้นไปตามลำดับ รองประธานหรือประธานแผนกแล้วยังไม่สามารถตกลงกันได้ก็จะส่งให้ประธานศาลอุทธรณ์เป็นคนวินิจฉัยว่าจะเอาอย่างไร ถ้าประธานศาลอุทธรณ์เห็นว่าอย่างนี้ควรจะเสนอให้รองประธานศาลอุทธรณ์คนที่ 1 พิจารณาว่าร่างนี้มันจะส่งผลกระทบต่อความยุติธรรมไหม ถ้ารองคนที่ 1 บอกว่ากระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม ประธานศาลอุทธรณ์ก็มีหน้าที่จะโอนสำนวนเพราะว่ากระทบต่อความยุติธรรม ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่ง โดยประธานศาลอุทธรณ์เองไม่ได้มีอำนาจที่จะไปสั่งโอนสำนวนได้เลย ถ้ารองคนที่ 1 บอกไม่กระทบต่อความเป็นธรรมประธานศาลอุทธรณ์ก็ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่าการโอนสำนวนหลายครั้งจะเป็นการผิดระเบียบหรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า สำหรับตนไม่เคยโอน แต่จะเป็นลักษณะที่ว่าตนส่งให้ นาย ก. นาย ก. บอกไม่เขียน เราก็เลยต้องจ่ายใหม่ ซึ่งก็ไม่ถือว่าเป็นการโอน ถ้าคำว่า “โอนสำนวน” จะต้องหมายถึงว่ามีคำพิพากษาออกมาแล้วเราไปให้คนอื่นทำคำวินิจฉัย ที่ตนทำเป็นไปตามกรอบและระเบียบ
เมื่อถามว่าชั้นพิจารณาคุณสมบัติของอนุก.ต.ให้โอกาสเรียกท่านเข้าไปชี้แจงใช่หรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า ก็มีการชี้แจงในเรื่องการโอนสำนวน และตนก็ได้ชี้แจงครบถ้วนพอสมควร คือในใจของเรามันคิดไม่เหมือนกัน ตนก็อยากชี้แจงให้มาก แต่เขาบอกแค่นี้ก็พอ ก็สุดแล้วแต่
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากอนุก.ต.เห็นว่าประเด็นที่ชี้แจงไม่เป็นไปตามขั้นตอนแล้วเป็นไปได้หรือไม่อาจถูกไต่สวนทางวินัย นายศิริชัย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นขั้นตอนของความเห็นซึ่งตนเห็นว่าแบบนี้น่าจะถูก แต่อนุก.ต.มองอีกแบบจึงเป็นการมองคนละมุม ทั้งที่ไม่มีระเบียบหรือกฎหมายบังคับไว้ว่าจะต้องทำอย่างไร เท่าที่ฟังดูจากก.ต.บางคน ก็บอกว่าไม่ได้เป็นการผิดวินัย แต่เป็นเรื่องไม่เหมาะสมเท่านั้นเอง ก็เหมือนกับมีคนบอกว่าทำไมคุณไม่ไปขวาแต่ผมไปซ้าย ก็คงไม่น่าจะมีการตั้งเรื่องสอบอีก มันไม่ได้ผิดกฎหมายและไม่มีระเบียบระบุไว้
เมื่อถามว่า วันนี้ที่ประชุม อนุ ก.ต. ผ่านความเห็นชอบชื่อนายชีพ จุลมนต์ มีอะไรจะฝากไปถึงหรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า “ เป็นไปตามระเบียบขั้นตอนก็เชื่อว่าหากนายชีพได้เป็นประธานศาลฎีกาก็คงจะดำเนินนโยบายต่อไป ตนก็เป็นเพื่อนกันกับนายชีพ ซึ่งตนกับนายชีพก็จบนิติศาสตร์รามคำแหงรุ่นเดียวกัน ไม่มีอะไรคาใจกัน ตนเป็นคนไม่มีอะไรคาใจกับใคร เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะไปคาใจ”
ผู้สื่อข่าวถามทิ้งท้ายว่ามีแนวคิดที่จะลาออกหรือไม่ นายศิริชัย กล่าวว่า “ไม่เคยมีแนวคิดที่จะลาออก เพราะตนยังทำงานรับใช้ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ต่อไป และตนยังทำงานได้ ซึ่งตนเป็นคนมีประสบการณ์ในการทำงานเยอะ และจะให้ความเป็นธรรมกับประชาชนได้ดี ซึ่งพอทำงานครบ 65 ปี ตนก็ยังจะพร้อมดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสต่อไปอีก อายุ 70 ปี ก็ยังอยากทำงานอยู่ ตนออกกำลังกายทุกวัน”
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการประชุมอนุ ก.ต.เพื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อผู้พิพากษาเสนอแต่งตั้งเป็นประธานศาลฎีการอบที่สองในวันนี้ (6 ก.ค.) ด้วยว่า ที่ประชุมอนุ ก.ต. สามชั้นศาล 21 คน ซึ่งวันนี้ มีอนุ ก.ต.เข้าประชุม 20 คน เนื่องจาก 1 คน ติดภารกิจนั้น ได้ลงมติเอกฉันท์ผ่านบัญชีรายชื่อผู้พิพากษาตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอนายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา คนที่ 1 และสรุปรายงานกลั่นกรองคุณสมบัติรอบด้านที่พร้อมเสนอสู่ที่ประชุม ก.ต.ชุดใหญ่ 15 คน ที่จะมีนายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา นั่งเป็นประธานการประชุมในวันที่ 11 ก.ค. นี้ เวลา 13.00 น.