
ฝึกยิงปืนรณยุทธ์..หลักสูตร'คอมมานโด'
ชายฉกรรจ์ในเครื่องแต่งกายทะมัดทะแมง เสื้อยืดคอปก กางเกงสนาม รองเท้าหุ้มข้อ ซองปืนข้างกายบรรจุกระสุนเต็มอัตราศึก พร้อมแม็กกาซีนเหน็บเอวที่หยิบฉวยได้ถนัดมือ จดจ่ออยู่กับเป้ายิงตรงหน้า ทันทีที่ได้ยินคำสั่งให้ลงมือ ทุกคนถลาออกจากซองวิ่งตรงไปยังจุดที่กำหนด แล
จนมองตามแทบไม่ทัน ก่อนจะผละจากเป้าหมายแรกมุ่งสู่เป้าหมายต่อๆ ไปด้วยใจมุ่งมั่น โดยมีครูฝึกคอยตามติดอยู่เบื้องหลัง จับตามองวิธีปฏิบัติตามการยิงแบบรณยุทธ์ เพื่อหาข้อบกพร่องนำไปแก้ไขในครั้งคราต่อไป
บ่ายวันเสาร์ต้นเดือนกันยายน ณ สนามยิงปืนวังกานนท์ กองบังคับการปราบปราม ซอยโชคชัย 4 แขวงและเขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ คลาคล่ำไปด้วยสมาชิกชมรมนักกีฬายิงปืนกองปราบปราม ที่นัดรวมตัวกันมาฝึกทบทวนการยิงปืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยิงปืนออโตเมติก ที่พวกเขามองว่าตำรวจปัจจุบันขาดทักษะและการฝึกฝน เนื่องจากหลักสูตรการยิงปืนของตำรวจไม่ทันต่อยุคสมัย ในขณะที่ตำรวจหนุ่มจบใหม่ไฟแรงซื้อปืนออโตเมติกใช้ แต่การเรียนการสอนตลอดจนปืนประจำกายที่รัฐมอบให้ยังคงเป็นขนาด .38 ซึ่งค่อนข้างล้าสมัยและตกยุค ดังนั้นชมรมนักกีฬายิงปืนกองปราบปรามจึงจัดการฝึกอบรมทบทวนหลักสูตรการยิงตั้งแต่ปืนลูกโม่ขั้นพื้นฐานไปจนถึงปืนกึ่งออโตเมติกต่อสู้ชั้นสูงขึ้น
"ตำรวจทุกวันนี้มีทักษะในการใช้ปืนต่ำมาก เนื่องมาจากเหตุผลหลายประการ ทั้งรายได้ต่ำบวกกับภาครัฐส่งไปฝึกทบทวนแค่ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ที่สำคัญคือหลักสูตรที่สอนๆ กันอยู่ล้าหลังไปมาก" พ.ต.ท.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง สารวัตรกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการปราบปราม หัวหน้าวิทยากรชมรมยิงปืน ให้ความเห็น
สำหรับหลักสูตรการยิงปืนที่ชมรมนักกีฬายิงปืนกองปราบปรามจัดทำขึ้นทั้ง 5 หลักสูตร ประกอบด้วย 1.หลักสูตรอบรมการยิงปืนพกรีวอลเวอร์ ระบบต่อสู้ (Standard Revolver Defense : SRD) ผู้เริ่มต้นลูกโม่ 2.หลักสูตรอบรมการยิงปืนพกสั้น กึ่งอัตโนมัติ ระบบต่อสู้ (Standard Pistol Defense : SPD) ผู้เริ่มต้นออโตเมติก 3.หลักสูตรอบรมการยิงปืนพกสั้น กึ่งอัตโนมัติ ระบบต่อสู้ ภายใต้สภาวะกดดัน (Pressured circumstances Pistol Defense : PPD) ระดับกลางออโตเมติก 4.หลักสูตรอบรมการยิงปืนรีวอลเวอร์ ระบบต่อสู้ ภายใต้สภาวะกดดัน (Pressured circumstances Revolver Defense : PRD) ระดับกลางลูกโม่ และ 5.หลักสูตรอบรมการยิงปืนพกสั้น กึ่งอัตโนมัติ ระบบต่อสู้ ขั้นสูง (Ultimate Pistol Defense : UPD)
พ.ต.ต.ภูมินทร์ อธิบายว่า หลักสูตรต SRD กับ SPD เป็นหลักสูตรมาตรฐานให้ผู้เรียนได้รู้หลักการใช้อาวุธปืนที่ถูกต้อง ปลอดภัย และการแก้ปัญหายามปืนติดขัด หรือยามคับขัน ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มพูนทักษะการใช้ปืนในเชิงต่อสู้ ทั้งท่านอน ท่านั่ง และวิ่ง เพื่อปกป้องทรัพย์สินและคนที่รัก ส่วนหลักสูตรที่เหลือเป็นหลักสูตรที่สูงขึ้นมา เน้นท่ายิงพิเศษ เช่น การวิ่งยิง การโรยตัวยิงจากที่สูง ยิงปืนผ่านใต้ท้องรถ ซึ่งทุกหลักสูตรคนที่อบรมจะสามารถนำไปใช้งานได้จริง
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติจริงกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากตำรวจที่เข้ารับการอบรมหลายคน มีอคติและไม่ให้การยอมรับทีมครูผู้ฝึกสอน ซึ่งประกอบไปด้วยตำรวจและบุคคลทั่วไป ที่มีความสามารถและได้รับการแต่งตั้งจากผู้บังคับการกองปราบปรามให้มาช่วยฝึกอบรม พ.ต.ต.ภูมินทร์ ยอมรับว่าแรกๆ ทีมงานต่างก็รู้สึกท้อแท้ ตำรวจที่เข้ารับการฝึกดูถูกเหยียดหยาม เพราะไม่เชื่อว่าผู้ฝึกสอนจะมีทักษะมากกว่า บางคนถึงกับโยนปืนลงกับพื้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้เห็นการสาธิต ได้ลองฝึกยิงจริง และผ่านหลักสูตร สามารถนำไปใช้งานได้จริงก็เริ่มมีผลตอบรับกลับมาดีมากๆ หลายคนติดต่อกลับมาขอฝึกทบทวนซ้ำและฝึกในลำดับขั้นที่สูงขึ้น
"ในฐานะวิทยากรผมรู้สึกดีนะ" พ.ต.ต.ภูมินทร์ กล่าว
ชมรมนักกีฬายิงปืนกองปราบปราม (Crime Suppression Division Shooting Club : CSDSC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2549 แต่เริ่มดำเนินการเปิดอบรมหลักสูตรยิงปืนอย่างเป็นทางการได้เมื่อปีก่อน มีวัตถุประสงค์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝึกทบทวนการใช้อาวุธปืน เพื่อเพิ่มทักษะการใช้ปืนได้อย่างถูกต้อง ขณะเดียวกันก็ต้องการให้ประชาชนทั่วไปที่สนใจกีฬายิงปืน ได้เรียนรู้การใช้ปืนที่ถูกต้องสำหรับการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของตัวเอง
"ก่อนหน้านี้ทีมงานเราตระเวนแข่งขันยิงปืนชิงถ้วยไปเรื่อยๆ เราเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร สู้มาทำหลักสูตรสอนประชาชนให้ใช้อาวุธปืนเป็นในยามคับขันดีกว่า แถมยังได้ฟื้นฟูสมรรถภาพการใช้อาวุธคู่กายของตำรวจได้อีกด้วย" อนุศักดิ์ กิตติศิริสวัสดิ์ ประธานชมรมนักกีฬายิงปืนกองปราบปราม กล่าวถึงที่มาของการก่อตั้งชมรม
อนุศักดิ์เป็นวิทยากรอบรมการยิงปืนให้แก่นักเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จึงคลุกคลีอยู่กับตำรวจมานานพอจะทราบว่า หลังจบจากโรงเรียนตำรวจแล้ว ส่วนใหญ่จะห่างเหินไม่ได้ฝึกซ้อมหรือเพิ่มทักษะการใช้อาวุธปืนอีกต่อไป แรกๆ อาจแค่ติดขัด แต่พอนานๆ ไปอาจถึงขั้นลืมทักษะการเรียนรู้ที่เคยมีมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจประจำโรงพักและสำนักงานผู้บังคับบัญชา ด้วยเหตุนี้โครงการฟื้นฟูการยิงปืนของตำรวจจึงเริ่มเกิดขึ้น เริ่มจากเปิดโอกาสให้ตำรวจที่สนใจเข้าอบรมเข้ามาสมัคร โดยเสียค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากเขาเข้าใจดีว่าตำรวจชั้นผู้น้อยส่วนใหญ่ล้วนมีปัญหาเรื่องรายได้
การยิงปืนทุกหลักสูตรจะมีค่าใช้จ่ายหลักสูตรละ 3,000 บาท ใช้เวลาเรียน 2 วัน อย่างไรก็ดี ชมรมยิงปืนได้สนับสนุนตำรวจและข้าราชการที่สนใจทบทวนหลักสูตรยิงปืน 3 แนวทางด้วยกัน ได้แก่ 1.หากมาเรียนด้วยตัวเองจะมีส่วนลด 50 เปอร์เซ็นต์ 2.ทุกสัปดาห์ที่เปิดหลักสูตรให้แก่บุคคลทั่วไป จะเปิดรับตำรวจเข้ารับการอบรมด้วย 4-5 นาย โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย 3.หลังจากเปิดสอนบุคคลทั่วไปทุกๆ 3 หลักสูตร จะนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาใช้ฝึกอบรมตำรวจคอมมานโด กองปราบปราม อีก 1 หลักสูตรทันที
ทุกวันนี้ชมรมนักกีฬายิงปืนกองปราบปรามเริ่มมีรายได้เข้ามา พวกเขากำลังคิดว่านอกจากจะนำเงินไปใช้พัฒนาสนามยิงปืนวังกานนท์แล้ว ส่วนหนึ่งจะนำไปสนับสนุนงานตำรวจ โดยเฉพาะตำรวจกองปราบปราม จัดอาวุธยุทโธปกรณ์สำคัญๆ อาทิ เสื้อเกราะกันกระสุน วิทยุสื่อสาร แว่นตา รถลำเลียงพล ฯลฯ สุดท้ายนำเงินไปช่วยเด็กด้อยโอกาสตามองค์กรการกุศลหรือตามจังหวัด
ด้านนักกีฬาชมรมยิงปืนอย่าง "เพชร ชิตนุชตรานนท์" ที่ตระเวนฝึกยิงปืนมาแล้วหลายสนามสุดท้ายก็มาลงตัวที่นี่ เขาอธิบายว่าที่นี่ไม่เหมือนกับที่อื่น ครูฝึกจะยิงสาธิตให้ดูก่อน และสอนกันแบบตัวต่อตัว ใครเรียนไม่ทันหรือตามไม่ทันครูฝึกจะแยกออกมาสอนเป็นรายบุคคล เพื่อให้ทันเพื่อนในวันต่อไป จากที่ไม่สนใจกีฬายิงปืนพอได้มาสัมผัสกลับรู้สึกสนุกและเป็นคนมีสมาธิมากขึ้น
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าอบรมหรือสมัครแข่งขันยิงปืนชิงถ้วยคอมมานโด ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 5-6 กันยายน และ 12-13 กันยายนนี้ สามารถติดต่อได้ที่ชมรมนักกีฬายิงปืนกองปราบปราม สนามยิงปืนวังกานนท์ กองปราบปราม หมายเลขโทรศัพท์ 0-2931-5965
บ่ายคล้อยแล้วเสียงปืนในสนามยิงปืนวังกานนท์ยังคงดังอยู่เป็นระยะ พร้อมกับความมุ่งมั่นที่จะพิชิตตัวเอง หาใช่คนข้างๆ หรือผู้แข่งขันรายใด เสียงครูฝึกที่ตะโกนแข่งกับความอึกทึกรอบข้างยังดังก้องอยู่ในหัวใครหลายคน "ชักไว ยิงไว เคลื่อนที่ไว ปลอดภัย แม่นยำ" อันเป็นคำจำกัดความของการยิงแบบรณยุทธ์ที่พวกเขาได้เรียนรู้มาเมื่อช่วงเช้า !?!