ข่าว

'คงเดช ชูศรี' วิพากษ์...ล้างคราบยศ ตร.

'คงเดช ชูศรี' วิพากษ์...ล้างคราบยศ ตร.

12 ก.ย. 2552

หากเอ่ยชื่อ "พล.ต.ต.คงเดช ชูศรี" น้อยคนในแวดวงตำรวจจะไม่รู้จัก ทั้งในฐานะหนึ่งในมือปราบระดับปรมาจารย์ และอาจารย์สอนหนังสือนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน คดีอาชญากรรมในวันวานกับปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน และอะไรคือปัจจัยที่ให้อาชญากรรรมขยายตัว แล้วตำรว

 ถาม : หลังเกษียณทำอะไรบ้าง

 พล.ต.ต.คงเดช : หลังเกษียณได้ไม่นานผมหันมาประกอบธุรกิจส่วนตัว ด้วยการพลิกฝืนป่าใน อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษแล้วมาทำไร่ทำสวน ปลูกผลไม้นานาชนิด ทำฟาร์มเลี้ยงกวาง ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญมาก ครั้งแรกได้รับเลี้ยงกวางป่า 15 ตัวของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ หลังจากถูกจับดำเนินคดีเพชรซาอุฯ ไม่นานก็ไปพบกวางป่าชนิดเดียวกันที่ชาวบ้านจับมาขายตามตะเข็บชายแดน เห็นแล้วรู้สึกสงสารก็เลยซื้อมาเลี้ยงไว้ จากนั้นก็ไปขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบันออกลูกออกหลานมากว่า 100 ตัว อยู่ในพื้นที่เพาะเลี้ยงกว่า 5 ไร่ ไม่เคยฆ่าหรือนำไปขายต่อให้แก่พ่อค้าแม่ค้าเลย เพราะเราเลี้ยงดูและคลุกคลีอยู่กับสัตว์เหล่านี้จนผูกพัน คงสงสารหากจะต้องทำร้ายเขา

 ถาม : ดูไม่ค่อยเข้ากันเลย จากมือปราบมาปลูกป่าเลี้ยงสัตว์

 พล.ต.ต.คงเดช : จริงๆ จากมือปราบกลายเป็นมาชาวไร่ชาวนามันก็ดูไม่เข้ากันเท่าไร (หัวเราะยิ้มๆ) แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรามีภาระหน้าที่ต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน พอหมดภารกิจแล้วก็กลับมาหาในสิ่งที่เราชอบและโหยหา คือ ต้องการอยู่กับธรรมชาติ แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังมีงานสอนหนังสือนักเรียนนักศึกษาอยู่นะ วิชาเกี่ยวกับแนวทางการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ และยังมีบรรยายพิเศษในหลักสูตรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย

 ถาม : อาชญากรรมปัจจุบันเป็นอย่างไร

 พล.ต.ต.คงเดช : ปัจจุบันมีประชากรเพิ่มมากขึ้น แย่งกันกินแย่งกันใช้ ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ในสภาพเศรษฐกิจที่บีบรัดอย่างมากในช่วง 4-5 ปีหลัง อาชญากรรมมากขึ้น ถี่ขึ้น รวมถึงการก่ออาชญากรรมรูปแบบแปลกๆ ใหม่ๆ บางคนลอกเลียนแบบจากภาพยนตร์ หรือเลียนแบบข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นต้น เท่าที่เห็นผมมองว่าคนที่ส่อแววว่าจะก่ออาชญากรรมส่วนใหญ่ถูกไล่ออกจากงาน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มแรก พลาดหวังจากธุรกิจหรือถูกไล่ออกจากงาน แต่ยังมีจิตสำนึกดีเริ่มต้นหางานใหม่กับองค์กรใหม่ทำ

 กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่จมไม่เรียก หรือจะเรียกว่าขาใหญ่ประจำซอยก็ได้ คนกลุ่มนี้ถูกไล่ออกจากงานเช่นกัน รู้สึกผิดหวัง เพราะจู่ๆ รายได้ก็หายไป เกิดความคับแค้นนายจ้าง คิดล้างแค้นด้วยการใช้ช่องโหว่ของบริษัทนายจ้างเก่า เข้าสู่กระบวนการลักทรัพย์ โจรกรรมทรัพย์สิน ดังที่เห็นเป็นข่าวบริษัทห้างร้านถูกลูกจ้างเก่าที่ไล่ออกไปเข้าไปลักทรัพย์สินแล้วแทบทั้งสิ้น

 ส่วนกลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มที่คิดไม่ตก คิดอะไรไม่ออก หางานทำก็ไม่ได้ ไม่มีรายได้ จึงเลือกเข้าสู่เส้นทางมิจฉาชีพ ด้วยการก่อเหตุลัก วิ่ง ชิง ปล้น ฆ่าล้างครัว เป็นต้น คนกลุ่มนี้น่ากลัวที่สุด เนื่องจากจะก่อคดีในลักษณะแปลกๆ พิสดาร เพราะมีภาวะทางจิตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

 ถาม : แล้วต่างจากอดีตอย่างไร

 พล.ต.ต.คงเดช : มันมีการพัฒนารูปแบบไปตามกาลเวลาไง จะเห็นได้จากอาชญากรรมในปัจจุบันมีรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมากกว่าเมื่อครั้งอดีต โหดเหี้ยมกว่า อันเนื่องมาจากศีลธรรมในใจบวกกับความเคยชิน คือ คนปัจจุบันมีศีลธรรมน้อยลง ประกอบกับสื่อมีอิทธิพลมากขึ้น ทั้งภาพยนตร์ หนังสือพิมพ์ มีจำนวนมาก แข่งขันกันอย่างเข้มข้น ต่างคนต่างนำเสนอภาพและเสียงที่ชัดเจน กลายเป็นดาบสองคม เพราะภาพเหล่านี้ทำให้คนในสังคมเห็นเรื่องความรุนแรงเป็นเรื่องธรรมดาไป ไม่แปลกอะไรเลยที่รูปแบบอาชญากรรมของไทยในปัจจุบัน จะคล้ายๆ กับภาพยนตร์ฆาตกรรมเลือดท่วมจอ

 ถาม : ในแง่บุคลากรตำรวจอดีตกับปัจจุบันต่างกันอย่างไร

 พล.ต.ต.คงเดช : ทุกวันนี้ตำรวจทำงานแบบทำไปวันๆ ไม่มีความรักความภาคภูมิใจในงานอันมีศักดิ์และศรีของข้าราชการตำรวจ หากจะให้ผมวิเคราะห์แล้วผมมองว่า ไม่ว่างานด้านไหนมันก็ตกต่ำไปหมด ลองไปถามชาวบ้าน 100 คนจะมีสักกี่คนที่ชื่นชมตำรวจ ผมว่ามีน้อย ยิ่งงานสืบสวนสอบสวนตำรวจสมัยนี้ยิ่งไปกันใหญ่ อยู่ในภาวะตกต่ำมาก หากปล่อยไว้อย่างนี้นักสืบจะหายไปจากวงการตำรวจ เพราะนักสืบจำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการทำงาน ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะมีเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การทำงานได้ง่ายขึ้นก็จริง แต่ก็ต้องคิดด้วยว่าโจรทุกวันนี้ก็ฉลาดไม่แพ้ตำรวจเช่นกัน เราต้องใช้ความสามารถ ความมีไหวพริบ ความขยันอดทน อยากให้ตำรวจทำหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ บำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน อย่าเข้าไปอยู่ในเกมการเมือง เพื่อหวังลาภยศอำนาจ เพราะหน้าที่ของเราคือดูแลประชาชน

 ถาม : มองข่าวการซื้อเก้าอี้ใน สตช.อย่างไร

 พล.ต.ต.คงเดช : ผมมองว่าการซื้อขายตำแหน่งมีจริง มีมาตั้งแต่อดีตแล้ว แต่ปัจจุบันภาพมันชัดเจนกว่ามาก เห็นได้จากตำรวจที่ไม่มีผลงาน พอถึงฤดูโยกย้ายกลับได้ตำแหน่งสูงขึ้นๆ ทั้งที่ไม่ได้ทำงาน ซึ่งมี 2 ประเด็น คือ เป็นเด็กของใคร เส้นสายของใคร และมีเงินพอกับตำแหน่งมากน้อยแค่ไหน

 ถาม : แล้วจะแก้ไขอย่างไร

 พล.ต.ต.คงเดช : การที่เราจะหยุดพฤติกรรม หรือวงจรอุบาทว์นี้ได้มีทางเดียว คือ เราจะต้องปฏิวัติวงการตำรวจเสียใหม่ ให้เป็นเหมือนกับประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นระบบสากล คือ ประเทศไทยจะต้องยกเลิกยศตำแหน่งตำรวจทั้งหมดออกไป ลองไปดูประเทศอื่นๆ ที่เป็นสากลเขามีนายพลเพียงคนเดียว แต่ประเทศไทยมีเป็น 10 มีเป็น 100 คนได้มั้ง ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ข้าราชการตำรวจทุกคนจะไม่มียศ ทุกคนจะเท่าเทียมกันหมด จบปริญญาตรีจะต้องมาสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ พอจบออกมาทุกคนเริ่มต้นที่สายตรวจเดินเท้า ประจำจุดต่างๆ

 หลังจากทำงานตรงนั้น 4-5 ปี อย่างเช่นสายตรวจรถยนต์ ทำอีกระยะหนึ่งก็เอามาอบรมโรงเรียนสายสืบ ทำงานสืบสวน แต่จะไม่มียศ จะใช้คำนำหน้าเพียงพนักงานสายสืบ ผู้บังคับการจังหวัดก็จะเหลือเพียงหัวหน้าตำรวจจังหวัดเท่านั้น แล้วเลื่อนขั้นตามลำดับเวลาที่เห็นควร หากตำรวจคนไหนไม่มีความสามารถจริงๆ เราก็จะเฟสเขาไปทำงานอย่างอื่น โดยมีบริษัทเอกชนรองรับรับเข้าทำงานเป็นหัวหน้า รปภ.เป็นต้น ซึ่งต่างประเทศเขาทำกันแล้ว หากเราทำได้จริงการซื้อขายตำแหน่งก็จะหมดไปโดยปริยาย

 ถาม : ตำรวจกลายเป็นเครื่องมือฝ่ายการเมือง ในอดีตภาพชัดขนาดนี้หรือไม่

 พล.ต.ต.คงเดช : ถึงวันนี้ผมจะกลายเป็นคนนอกในแวดวงตำรวจ แต่ครั้งหนึ่งผมก็เคยอยู่วงใน รับรู้เรื่องราวต่างๆ ผมรู้ดีว่าทุกวันนี้ตำรวจทำงานได้ไม่เต็มที่ ขวัญและกำลังใจตกต่ำถึงขีดสุดท้าย ระบบคุณธรรมถึงคราวล้มเหลว หลงเหลือเพียงระบบอุปถัมภ์ค้ำชูเพียงเท่านั้น คนทำงานกลับไม่ได้ดีตามผลงาน แต่คนไม่ทำงานกลับได้ลาภ ยศ สรรเสริญ หากเดินทางถูกติดตามนายที่เป็นนักการเมือง ผมเคยเป็นหนึ่งในคณะทำงานกลั่นกรองโยกย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับต่างๆ สมัย พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เราเจอแรงกดดันจากทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง สำนักพิมพ์ ทุกปีจะมีรายชื่อตำรวจเหล่านี้เข้ามา พอเราตรวจสอบต้นสังกัดก็พบว่า คนเหล่านี้ทำงานไม่เป็น แต่หากเราไม่ทำตามฝ่ายการเมืองเราก็จะโดนย้าย หากเราไม่ทำตามสำนักพิมพ์เราก็จะโดนเขียนด่าทุกวี่วัน สมัยนั้นผมถือว่าผมอยู่วงการตำรวจ เป็นคนวงในรู้จักคนวงในดีกว่าคนนอก จะด่าจะกลั่นแกล้งอย่างไรก็ไม่สนใจ

 ทางที่ดีรัฐบาลไม่ควรมายุ่งกับงานตำรวจ น่าจะมีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกเทศเหมือนอัยการหรือศาล เพราะหากการเมืองยังมีการแทรกแซง งานตำรวจก็จะยุ่งเหยิงไปกันใหญ่ ดังภาพที่เห็นเมื่อก่อนตำรวจปราบโจรได้ทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี มีแต่ปราบม็อบกับทำภารกิจอื่น