
3ปัจจัยพา“เรอัล มาดริด”คว้าดับเบิลแชมป์ถ้วยใหญ่
ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับฟุตบอลลีกยุโรป หลังเกมนัดชิงชนะเลิศของศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก จบลง
โดยผลปรากฏว่าเป็นทางฝั่ง “ราชันชุดขาว” ที่เอาชนะไปได้อย่างขาดลอย 4-1 พร้อมส่งให้ยอดทีมจากเมืองหลวงแดนกระทิงดุ สร้างประวัติศาสตร์เป็นสโมสรแรกที่ป้องกันแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จ นับตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้ชื่อรายการว่า ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เมื่อปี 1992 พร้อมเป็นแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปเป็นสมัยที่ 12 ด้วย
ในปีนี้ถือเป็นปีทองของ เรอัล มาดริด เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากพวกเขาจะสามารถป้องกันแชมป์ยุโรปได้สำเร็จแล้ว ก่อนหน้านี้ลูกทีมของ ซีเนดีน ซีดาน ยังเพิ่งคว้าแชมป์ลาลีกา สเปน ฤดูกาล 2016-17 มาครองเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีอีกด้วย โดยมีปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในซีซั่นนี้
ฟอร์มอันสุดยอดของ“คริสเตียโน โรนัลโด”
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่านักเตะที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพา เรอัล มาดริด คว้าดับเบิลแชมป์มาครองได้ในปีนี้ นั่นก็คือ “CR7” โดย โรนัลโด ถือเป็นหัวใจในเกมรุกของทีมอย่างแท้จริง ซึ่งแม้ว่าในฤดูกาลนี้ด้วยอายุที่มากกว่า 32 ปี ทำให้เขาต้องเปลี่ยนสไตล์การเล่นจากการเลี้ยงบอลด้วยลีลา และความเร็วเข้าไปทำประตู กลายมาเป็นวิ่งหาช่องอยู่ในแดนหน้า และรอจังหวะในการสังหารแทน
โดยในตอนแรก โรนัลโด ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากตำแหน่งการยืนใหม่ของเจ้าตัว เนื่องจากเขาไม่ใช่กองหน้าธรรมชาติ แต่ โรนัลโด ก็ได้ฝึกทักษะอื่นๆแทนการเลี้ยงที่หายไป ทั้ง การเข้าฮอสอันแม่นยำ, การเล่นลูกกลางอากาศ รวมถึงการวิ่งหาช่อง เป็นต้น จนส่งผลให้เขากลายเป็นกองหน้าตัวผลิตสกอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบในซีซั่นนี้ และมักจะทำประตูสำคัญๆได้อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยิง 2 ประตูใส่ จานลุยจิ บุฟฟ่อน ยอดผู้รักษาประตูทีมชาติอิตาลีของ ยูเวนตุส และส่งผลให้เขาแซง ลิโอเนล เมสซี สตาร์แนวรุกของทีม บาร์เซโลนา คว้ารางวัลดาวซัลโวของฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่มาครองด้วยจำนวน 12 ประตูจาก 13 นัด และเป็นดาวซัลโวของศึกยูซีแอลเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน เริ่มจากปี 2013-2017
ส่วนสถิติการทำประตูอื่นๆที่น่าสนใจของ โรนัลโด ในฤดูกาลนี้ ประกอบด้วย การทำ 25 ประตู และ 5 แอสซิสต์ ในศึกลาลีกา, การทำ 9 ประตูจาก 4 นัดในนามทีมชาติโปรตุเกส รวมถึงการยิงประตูรวมไปแล้ว 600 ลูกตลอดชีวิตการค้าแข้ง ซึ่งจากผลงานทั้งหมดที่กล่าวมา ก็น่าจะส่งผลให้เขาคว้ารางวัลรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป หรือ บัลลงดอร์ เป็นสมัยที่ 5 ของตนเองมาครองได้สำเร็จ
3แดนกลางอันทรงพลัง
ในฤดูกาลนี้เราแทบจะไม่ได้เห็นการประสานงานของ “บีบีซี” หรือ คาริม เบนเซมา, แกเร็ธ เบล และคริสเตียโน โรนัลโด เลย เนื่องจากทั้ง 3 คนนี้ผลัดกันได้รับบาดเจ็บตลอดทั้งซีซั่น โดยเฉพาะในรายของ เบล ที่ลงสนามให้กับ “ราชันชุดขาว” ไปเพียง 27 นัดเท่านั้น
จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ ซีเนดีน ซีดาน ต้องปรับแท็คติกในเกมรุกอย่างเร่งด่วน ด้วยการให้กองกลางของทีมทั้ง 3 คนประกอบไปด้วย โทนี โครส, ลูกา โมดริช และคาเซมิโร มีส่วนร่วมในการบุกของทีมมากขึ้น แทนที่จะพึ่ง “บีบีซี” เพียงอย่างเดียว
โดยถึงแม้ว่าด้วยธรรมชาติแล้วกองกลางทั้ง 3 รายจะไม่ใช่นักเตะในเชิงรุกแบบ 100 เปอร์เซนต์ บางคนออกไปแนวผู้เล่นเกมรับมากกกว่า แต่พวกเขาก็สามารถดึงศักยภาพของตนเองออกมาได้ ทั้ง โมดริช ที่มีจังหวะการลากเลื้อยเข้าไปทำประตูมากขึ้น, โครส ที่มีการเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลิตสกอร์มากขึ้น ไม่ใช่ตัวจ่ายบอลเพียงอย่างเดียว รวมถึง คาเซมิโร ที่ยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษบ่อยครั้ง เห็นได้ชัดจากในเกมยูซีแอลรอบชิงชนะเลิศกับ ยูเวนตุส ที่แดนกลางของ “ราชันชุดขาว” ทำได้ดีกว่าอย่างชัดเจน
ซึ่งจากการปรับแท็คติก รวมถึงความเข้าขากันของนักเตะทั้ง 3 ราย ก็ส่งผลให้ทีมมีสถิติการทำประตูต่อเกมถึง 2.8 ประตู, โอกาสยิงต่อเกม 17.4 ครั้ง รวมถึงอัตราการครองบอลที่มีสูงกว่า 54.8% ต่อเกมอีกด้วย
แท็คติกอันชาญฉลาดของ“ซีดาน”
จากผลงานทั้งหมดของ เรอัล มาดริด ในปีนี้ ต้องยกเครดิตส่วนใหญ่ให้กับ ซีดาน อย่างแน่นอน เพราะเขาสามารถพาทีมประสบความสำเร็จอย่างมากมายในเวลาเพียง 1 ปีครึ่งเท่านั้น
เชื่อว่าในตอนที่ ซีเนดีน ซีดาน เข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมชุดใหญ่ของ เรอัล มาดริด เป็นครั้งแรก หลายคนต้องสงสัยถึงฝีมือของเขาว่าจะสามารถพาทีมประสบความสำเร็จเหมือนในสมัยที่ตนเองเป็นนักเตะได้หรือไม่ หรือจะเป็นเพียงเด็กเส้นที่ได้ขึ้นมาคุมทีมเพราะสนิทกับประธานสโมสรอย่าง ฟลอเรนติโน เปเรซ แต่ในปัจจุบัน ซีดาน ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นกุนซือได้ดีไม่แพ้สมัยค้าแข้งเลย ด้วยสถิติคุมทีม 87 เกม ชนะ 65 แพ้ 7 พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ไปถึง 5 รายการ ประกอบ ด้วย ลาลีกา 1 สมัย (2016-17), ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 2 สมัย (2015-16,2016-17), ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย (2016) และฟ่า ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 สมัย (2016)
โดย ซีดาน พา เรอัล มาดริด ประสบความสำเร็จด้วยแผนการบุกสไตล์ 4-4-2 แบบไดมอนด์ ซึ่งเขาใช้มาตั้งแต่สมัยเข้ามาคุมทีม “ราชันชุดขาว” เมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว นอกจากนั้น เทรนเนอร์ชาวฝรั่งเศสรายนี้ ที่เคยคุมทีม เรอัล มาดริด ชุดบี มาก่อน มักจะให้โอกาสเหล่าแข้งดาวรุ่ง ได้ลงสนามในทีมชุดใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยไม่กลัวว่านักเตะดาวโรจน์เหล่านี้จะโชว์ฟอร์มได้ไม่น่าประทับใจ ซึ่งหลายคนก็ทำผลงานได้ดี และกลายเป็นตัวหลักของทีมอยู่ในปัจจุบัน เช่น มาร์โก อเซนซิโอ กองกลางวัย 21 ปี ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนเบียด ฮาเมส โรดริเกวซ ดาวเตะทีมชาติโคลอมเบีย เจ้าของค่าตัว 71 ล้านปอนด์ไปเป็นตัวสำรองในฤดูกาลนี้ รวมถึงดาวรุ่งรายอื่นๆ เช่น ลูคัส บาสเกซ และ นาโช ก็โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นเช่นกัน
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือปัจจัยทั้ง 3 ข้อที่ส่งผลให้ เรอัล มาดริด ประสบความสำเร็จอย่างมากในซีซั่นนี้ โดยเป็นการคว้า 2 ถ้วยใหญ่อย่าง ลาลีกา และยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก พร้อมกันเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี อย่างไรก็ตามต้องมาดูกันว่าในฤดูกาลหน้าพวกเขาจะยังสามารถรักษาฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมแบบนี้ต่อไปหรือไม่?