ข่าว

“ยูโรปา ลีก” เดิมพันสุดท้ายของปีศาจแดง

“ยูโรปา ลีก” เดิมพันสุดท้ายของปีศาจแดง

24 พ.ค. 2560

เดิมพันสุดท้ายของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับโอกาสลุ้นตีตั๋วเข้าไปเล่นศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก

โดยลูกทีมของ โชเซ มูรินโญ ต้องเอาชนะ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในเกมยูโรปา ลีก นัดชิงชนะเลิศ ซึ่งจะลงเตะในค่ำคืนนี้ (24 พ.ค.) เวลา 01.45 น. ให้ได้เพียงสถานเดียวเท่านั้น และถ้าผิดไปจากนี้จะกลายเป็นซีซั่นที่น่าผิดหวังที่สุดฤดูกาลหนึ่งของทีม“ปีศาจแดง”เลยทีเดียว
ฝั่ง อาแจ็กซ์ ภายใต้การคุมทัพของ ปีเตอร์ บอสซ์ กุนซือ วัย 53 ปี เพิ่งผิดหวังมาจากในลีกหลังเข้าป้ายเพียงตำแหน่งรองแชมป์ชนิดที่ต้องตัดสินกันในวันสุดท้ายของฤดูกาล ซึ่งจากความผิดหวังดังกล่าวทำให้นัดนี้จึงหมายมั่นปั้นมือที่จะลบฝันร้ายด้วยการคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้
อย่างไรก็ตามก่อนที่ทั้งคู่จะลงห้ำหั่นกัน ณ สังเวียนเฟรนด์ส อารีนา กรุงสต็อคโฮล์ม ประเทศสวีเดน ขอนำทุกท่านไปสำรวจความพร้อมตลอดจนเกร็ดที่น่าสนใจสำหรับศึกชิงแชมป์บอลถ้วยรองของยุโรปปีที่ 46 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปีที่มีความหมายต่อทีมแชมป์มากมายเหลือเกิน

ทรีโออาแจ็กซ์
ค่าเฉลี่ยผู้เล่นของ อาแจ็กซ์ ชุดนี้อยู่ที่ 22 ปี 312 วัน น้อยที่สุดในบรรดาทีมยูโรปา ลีก ปีนี้ แม้จะอุดมไปด้วยแข้งดาวรุ่งแต่ขุนพลชุดนี้ได้รับเสียงชื่นชมในเรื่องเกมรุกอย่างมาก โดยพวกเขาเป็นทีมที่มีผลต่างประตูได้เสีย +61 ประตู จากการยิง 86 ลูก เสีย 25 ประตู สูงสุดในศึกเอเรดิวิซี ลีกของฮอลแลนด์ฤดูกาลนี้ ในระบบ4-3-3 ซึ่งแดนหน้าสามคน ประกอบด้วย แคสเปอร์ โดลเบิร์ก, เบอร์ทรานด์ ตราโอเร และ อามิน ยูเนส ซึ่งคนที่โดดเด่นที่สุดหนีไม่พ้น "โดลเบิร์ก" ศูนย์หน้า วัย 18 ปีดีกรีทีมชาติเดนมาร์ก ดาวซัลโวของทีมที่ลงเล่น 45 นัด ยิงไป 22 ประตู กับ 7 แอสซิสต์
และหากนับเฉพาะในเวทียูโรปา ลีก ลูกทีมของปีเตอร์ บอสซ์ ยิงไป 24 ประตู จาก 14 เกมในซีซั่นนี้ มากกว่า แมนฯยูไนเต็ด 1 ลูก โดยกว่าครึ่งที่ยิงได้มาจากสามประสานแดนหน้าอย่าง โดลเบิร์ก ยิงไป 6 ลูก, ตราโอเร 4 ลูก และ ยูเนส 4 ลูก ขณะที่ เฮนริค มคิตาร์ยาน และ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช คือคนที่ยิงในรายการนี้ให้แมนฯยูไนเต็ด ได้สูงสุดคนละ 5 ประตู ซึ่งเมื่อเทียบผลงานกันแล้ว อาแจ็กซ์ ดูจะมีเกมรุกที่น่ากลัวกว่าเล็กน้อยถ้าดูจากตัวเลขที่ผ่านมา

แนวรับวัยละอ่อน
ถึงจะมีเกมรุกที่เป็นจุดแข็ง แต่สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ของ อาแจ็กซ์ ชุดนี้คงหนีไม่พ้นในเรื่องเกมรับ ที่พวกเขาเสียไปถึง 15 ประตู แม้จะมีกองหลังที่ไว้ใจได้อย่าง ดาวินซอน ซานเชส เซนเตอร์แบ็กวัย 20 ปีชาวโคลอมเบีย ซึ่งเล่นได้แข็งแกร่งและมีจุดเด่นในการป้องกันลูกกลางอากาศ อีกทั้งสถิติการแย่งบอล, เข้าสกัดบอล, การป้องกันลูกกลางอากาศ ยังเหนือกว่าคู่แข่งปีศาจแดง แต่การต้องเสีย นิค เฟียเกแฟร์ ปราการหลัง วัย 27 ปีที่ติดโทษแบน ทำให้นัดนี้จะมีเพียง โยเอล เฟลต์มัน กองหลังวัยเบญจเพศเพียงคนเดียวที่อายุเกิน 20 ปี ส่วน 3 คนที่เหลือ ทั้ง ซานเชส (20 ปี), มัทไธส์ เด ลิกต์ (17ปี), ไยโร รีเดวัลด์ (20ปี) ต้องแบกรับความกดดันจากการลงเล่นนัดชิงแมตช์ใหญ่เป็นครั้งแรก
ฝั่ง แมนฯยูไนเต็ด ก็ต้องเผชิญปัญหาในแนวรับเช่นกัน เมื่อต้องขาด เอริค ไบยี ปราการหลังตัวหลักจากการติดโทษแบน ทำให้จะเหลือเพียง ดาลีย์ บลินด์,ฟิล โจนส์ และ คริส สมอลลิง ที่เพิ่งหายเจ็บกลับมา เป็นตัวเลือกในบทบาทเซนเตอร์ฮาล์ฟ อย่างไรก็ตามด้วยการวางหมากของ โชเซ มูรินโญ ที่เชี่ยวชาญในการทำลายเกมรุกคู่แข่ง ก็ยังพอทำให้มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะยังคงมีรูปแบบที่เหนียวแน่นในการับมือการแนวรุกที่จัดจ้านของอาแจ็กซ์ในเกมนี้

พื้นที่กลางสนาม
หากกางสถิติมาเทียบกันแดนกลางของ แมนฯยูไนเต็ด นั้นดูดีกว่าเล็กน้อย จากตัวเลขการครองบอล 60 %ส่วนฝั่ง อาแจ็กซ์ อยู่ที่ 55 % โดย ปอล ป็อกบา กองกลางค่าตัวสถิติโลกของแมนฯยูไนเต็ด คือ นักเตะที่ผ่านบอลสำเร็จในแดนคู่แข่งมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก 1,035 ครั้ง และยิ่งเมื่อเล่นร่วมกับ อังเดร เอร์เรรา กองกลางชาวสแปนิช ทำให้เกมทะลุทะลวงตรงกลางสนามมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ตรงข้ามกับ อาแจ็กซ์ ที่มีเปอร์เซนต์ครองบอลในแนวกว้างที่มากกว่า จากสถิติครอสบอลจากริมเส้นที่ ฮาคิม ซิเยค กองกลางตัวรุกชาวโมรอกโก ทำไว้ถึง 78 % โดยมิดฟิลด์โมรอกโกยังถือเป็นหัวใจในการสร้างสรรค์เกมรุกจากสถิติการสร้างโอกาส 37 ครั้ง มากที่สุดในทีมโดยเป็นการแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีม 4 ครั้ง นอกจากนี้ ดาวี คลาสเซน กองกลางกัปตันทีม ยังเป็นอีกคนที่โดดเด่นในแดนกลางแถมยังมีทีเด็ดจาการสอดขึ้นไปลุ้นทำประตูจากการยิงไปแล้ว 14 ลูกในลีก เป็นรองเพียง โดลเบิร์ก ศูนย์หน้าดาวซัลโวของทีม

สถิตินัดชิงมูรินโญ
ต้องยอมรับว่าสถิติเกมนัดชิงบอลถ้วยของโชเซ มูรินโญ นั้นยอดเยี่ยมเหลือเกิน เมื่อพาทีมคว้าแชมป์ได้ 11 จาก 13 ครั้ง นับตั้งแต่นำ เอฟซี ปอร์โต เอาชนะ เซลติก 3-2 ผงาดแชมป์ยูโรปา ลีก เมื่อปี 2003 ขณะที่บนเกาะอังกฤษ พาทีมเข้าชิง 5 ครั้ง และเป็นแชมป์ได้ทั้งหมด (ลีก คัพ 4 สมัยและเอฟเอ คัพ 1 สมัย) โดยแชมป์ลีก คัพ ครั้งล่าสุด ที่เอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 3-2 เป็นการทำสถิติคว้าแชมป์ถ้วยนี้สูงสุด 4 ครั้ง เทียบเท่ากับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ ไบรอัน คลัฟ 2 ตำนานกุนซือแห่งเกาะอังกฤษ 
นอกจากนี้ทั้ง 13 ครั้ง มูรินโญ ไม่เคยเสียท่าในเกม 90 นาทีเลย(แพ้ เบนฟิกา 1-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ถ้วยโปรตุกีส คัพ 2004, แพ้ แอตเลติโก มาดริด 1-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษถ้วยโกปาเดลเรย์ ปี 2013) และหากนับเฉพาะเวทียุโรป เข้าชิง 3 ครั้ง พาทีมกวาดแชมป์ไปได้ทั้งหมด แบ่งเป็น ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 2 สมัย และ ยูโรปา ลีก 1 สมัย โดยตลอดการคุมทีมกับ 5 สโมสร ไล่ตั้งแต่ ปอร์โต, เชลซี, อินเตอร์ มิลาน, เรอัล มาดริด และ แมนฯยูไนเต็ด มูรินโญ สอยโทรฟี่ไปรวมทั้งหมด 24 ใบ

ครั้งสุดท้ายที่ อาแจ็กซ์ ประสบความสำเร็จในเวทียุโรป คือชุดแชมป์ยุโรปปี 1995 ส่วน แมนฯยูไนเต็ด ต้องย้อนไปในปี 2008 ที่ทีมดวลจุดโทษชนะ เชลซี 6-5 พร้อมกับครองเจ้ายุโรปสมัยที่ 3 และถ้าคว้าแชมป์ถ้วยนี้ได้ จะเป็นสโมสรที่  5 ที่ซิวแชมป์ 3 รายการของยูฟ่า (ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก และ คัพ วินเนอร์สคัพ) 
อย่างไรก็ตามถ้าผลออกมาเป็นตรงข้ามนอกจากจะหมดสิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ซีซั่นหน้าแล้ว พวกเขายังต้องสูญรายได้กว่า 50 ล้านปอนด์ (ราว 2,200 ล้านบาท) พร้อมกับผลงานที่ล้มเหลวที่สุดนับตั้งแต่เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน วางมือไปเลยทีเดียว