คมนาคมเตรียมดันทางด่วนขั้น 3 “รัตนาธิเบศร์-นวมินทร์”

                      นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 ช่วงถนนเกษตร-นวมินทร์ และอีสท์-เวสท์ คอริดอร์ ด้านตะวันออกว่า โครงการดังกล่าวอยู่ในแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน (ActionPlan) ปี2560ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) อยู่ระหว่างการพิจารณาตามขั้นตอนเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

                      เบื้องต้นพบว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ได้ขอให้สำนักงานนโยบายแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาเพิ่มเติมโดยเฉพาะการเชื่อมต่อจากช่วง N2 หรือบริเวณจากแยกเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นทางขึ้นและลงทางด่วนเส้นทางดังกล่าว เพื่อให้การจราจรไม่กระจุกตัว โดย สนข.อยู่ระหว่างศึกษาว่าจะใช้การขนส่งรูปแบบใดเชื่อมต่อเพื่อให้เหมาะสม เช่น รถไฟฟ้ารางเบา และรถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ที 

                      นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายแผนการขนส่งและจราจร กล่าวว่า มติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ให้ สนข. พิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการก่อสร้างทางด่วนขั้นที่ 3 ตอนN2 บริเวณแยกเกษตรศาสตร์ว่า จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการจราจรอย่างไร และพิจารณาแนวทางการเชื่อมต่อเส้นทางดังกล่าวด้วยรวมทั้งให้ดำเนินการศึกษาระบบรถไฟฟ้าควบคู่ไปด้วย โดยยึดตามแนวเส้นทางเดิม โดย สนข.ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาไปแล้วในเดือนนี้ มีระยะเวลาในการศึกษาระบบเชื่อมต่อ (Feeder) 14 เดือนและกำหนดแล้วเสร็จประมาณเดือน มิ.ย. 2561

                      “ตอนนี้คงจะไม่พัฒนาเฉพาะทางถนนเท่านั้น ต้องคิดระบบขนส่งมวลชนอื่นด้วย ซึ่งเดิมแนวเส้นทางสายนี้ สนข.เคยออกแบบเพื่อปรับตอม่อเดิมเพื่อทำรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล โดยเชื่อมต่อจากแครายไปสิ้นสุดที่บึงกุ่ม แต่การศึกษาครั้งนี้อาจจะพิจารณาเรื่องรถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ทีด้วย เพื่อให้เกิดการบริการแบบผสมผสาน ส่วนท้ายที่สุดจะใช้รูปแบบไหนนั้น ต้องรอให้ผลศึกษาออกมาก่อน”นายชัยวัฒน์ กล่าว

                       นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้ กทพ. เริ่มดำเนินการศึกษาทบทวนแผนและการออกแบบวิศวกรรม และด้านเศรษฐศาสตร์ รวมถึงเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมโครงการ N2 แล้ว จะสรุปผลการศึกษาพร้อมออกแบบอย่างละเอียดเพื่อเสนอครม. และไปสู่ขั้นตอนการเปิดประมูลก่อสร้างภายในเดือน พ.ย. นี้ 

                     นายวรวิทย์ จำปีรัตน์ ประธานคณะกรรมการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา บอร์ดร.ฟ.ท.ได้พิจารณารายละเอียดร่างเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 84 กิโลเมตร วงเงิน 7,340 ล้านบาท ที่ รฟท.ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์ครั้งที่ 1 ไปเมื่อวันที่ 10-18 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยการเสนอความคิดเห็นส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงรายละเอียดปลีกย่อย ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ ดังนั้นบอร์ดจึงให้ผู้บริหาร ร.ฟ.ท. ไปเพิ่มเติมรายละเอียดต่างๆ ให้ชัดเจนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

                     สำหรับการเปิดขายเอกสารประกวดราคารถไฟทางคู่เส้นทางนี้จะดำเนินการได้ในปลายเดือนนี้ หรือต้นเดือน พ.ค. อย่างแน่นอน เพราะเมื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 จบแล้ว ต้องมาพิจารณาว่า มีประเด็นสำคัญต้องปรับแก้หรือไม่ หากเป็นการปรับแก้ไขรายละเอียดเล็กน้อย ก็ไม่ต้องเสนอให้บอร์ดพิจารณาอีก และสามารถเปิดขายเอกสารประกวดราคาได้ทันที แต่หากเป็นเรื่องใหญ่ต้องเสนอเข้าบอร์ดพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งอาจจะช้ากว่าเดิมประมาณ 1-2 วันเท่านั้น

                   นายวรวิทย์ ยังกล่าวถึง กรณีที่มีข้อเสนอให้ผู้รับเหมางานโยธาตึกอาคารและคอนโดมิเนียมต่างๆสามารถเข้าร่วมประกวดราคาก่อสร้างรถไฟทางคู่ว่า ประเด็นนี้อาจจะเป็นไปไม่ได้ เพราะผู้รับเหมากลุ่มนี้ไม่มีความเชี่ยวชาญเรื่องของระบบราง เครื่องมือก็ใช้คนละอย่างกัน ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายวิศวกรรมก็พิจารณาอยู่ด้วยเหมือนกัน  ปัจจุบันผู้รับเหมาที่มีความสามารถในการก่อสร้างงานโยธาระบบรางด้วยตัวเองมีประมาณ 15 ราย ซึ่งแต่ละรายก็สามารถไปจับมือกับผู้ประกอบการรายอื่นเพื่อร่วมกันเสนอตัวเข้าร่วมประกวดราคาได้ ซึ่งหากพิจารณาจากจำนวนนี้ก็ถือว่ามากกว่าสัญญาที่ ร.ฟ.ท.จะต้องเปิดประกวดราคางานโยธารวม 10 สัญญาแล้ว 

                   นายอานนท์ เหลือง รองอธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) ในฐานะรักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่าในสัปดาห์นี้จะเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์มากนัก เพราะส่วนใหญ่ได้แสดงความคิดเห็นในครั้งแรกไปแล้ว หากไม่มีการแก้ไขสาระสำคัญในTORก็คาดว่าจะประกาศเปิดขายเอกสารประกวดราคาได้ในสัปดาห์หน้าอย่างแน่นอน

                  “สัปดาห์นี้คงประกาศขายเอกสารประกวดราคาไม่ทัน เพราะการเปิดรับฟังความคิดเห็นต้องใช้เวลา 4 วัน ซึ่งจะครบในวันที่ 28 เม.ย. จากนั้นก็เป็นวันหยุดยาวอีก 3 วัน คือ เสาร์-อาทิตย์ และวันแรงงาน ก็ยังประกาศไม่ได้ เลยต้องประกาศสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. แทน” นายอานนท์