ข่าว

"ซินแสโชกุน" อ้อน แฟนคลับอย่าทิ้งกันนะ

"ซินแสโชกุน" อ้อน แฟนคลับอย่าทิ้งกันนะ

14 เม.ย. 2560

ฝากขัง "วินแสโชกุน" ผู้ต้องหาดคี ต้มตุ๋นเหยื่อทัวร์ญี่ปุ่น เจ้าตัวอ้อน แฟนคลับ อย่าทิ้งกันนะ-คิดเสียว่าเป็นญาติกัน ก่อนถูกคุมตัวเข้าเรือนจำ

          14 เม.ย.60 - ร.ต.อ.กฤษณ์ พิพัฒน์พูนสิริ พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ได้ควบคุมตัว น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือ ซินแสโชกุน สาวหล่อ อายุ 30 ปี กรรมการบริหารบริษัทเวลล์ เอฟเวอร์ จำกัด  ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.939/2560 ลงวันที่ 12 เม.ย.60 ข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่  14 - 25 เม.ย.นี้ เนื่องการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นต้องสอบพยานเพิ่มอีก 50 ปาก และรอผลตรวจสอบบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายและผู้ต้องหา รอผลตรวจลายพิมพ์นิ้วมือ ประวัติการต้องโทษผู้ต้องหา และอื่นๆ

          โดยคำร้องระบุพฤติการณ์ สรุปว่า น.ส.พสิษฐ์ ผู้ต้องหาได้ร่วมกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาดำเนินคดี ได้ชักชวนประชาชนทั่วไปร่วมเข้าเป็นสมาชิกของบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โดยอ้างว่าจะมีสิทธิได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศในแถบเอเชีย  ทำให้มีประชาชนหลงเชื่อหลายพันคนจ่ายเงินเข้าบัญชีแม่ข่ายแต่ละสายที่พวกผู้ต้องหาให้สมาชิกชำระเงิน จำนวน 9,700 บาทต่อคน และจะได้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอีก 2 กระปุก ซึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะมีมูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท โดยผู้ต้องหากับพวกได้สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการนำสมาชิกกลุ่มแรกที่มีจำนวนไม่มากไปท่องเที่ยวที่ฮ่องกงและญี่ปุ่น กระทั่งสมาชิกอื่นหลงเชื่อว่าธุรกิจมีอยู่จริง แต่หลังได้รับเงินแล้วมีผู้เสียหายประมาณ 470 คน ได้เดินทางไปที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 11 เม.ย.ระหว่าง 18.00 - 20.00 น.เพื่อเตรียมขึ้นเครื่องไปประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่สามารถเดินทางไปได้เพราะไม่มีการจองตั๋วเครื่องบินไว้ตามที่ผู้ต้องหาอ้าง ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา  

          ซึ่งท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากผู้ต้องหายังมีพฤติการณ์ฉ้อโกงลักษณะเดียวกันระหว่างปี 2557 -2559 อีก 4 พื้นที่ในเขต สภ.เมืองนครราชสีมา , สภ.เมืองนนทบุรี , สน.ปทุมวัน และ สน.ห้วยขวาง ซึ่งเป็นการกระทำผิดซ้ำในลักษณะเดียวกันและมีพฤติการณ์โดยการเปลี่ยนชื่อ - สกุล และเข้าไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง แล้วยังมากระทำผิดในคดีนี้อีกทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์หลงเชื่อหลายพันคนทั่วประเทศจ่ายเงินให้ผู้ต้องหามีมูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท หลังเกิดเหตุผู้ต้องหายังได้ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปซื้อคอนโดมิเนียม  รถยนต์ และใช้ส่วนตัวอันส่อไปในการกระทำผิดฟอกเงิน ประกอบกับภาพการทิ้งสมาชิกให้รอที่สนามบินสุวรรณภูมิสร้างความเสียหายต่อสนามบินสุวรรณภูมิและภาพลักษณ์ของประเทศ อีกทั้งผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนีไปที่ จ.ระนอง กระทั่งเจ้าหน้าที่ทหารได้ควบคุมตัวมาตัวมาโดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2559 ลงวันที่ 29 มี.ค.59  เรื่องการป้องกันและปราบปรามกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อย มามอบให้พนักงานสอบสวน จึงเชื่อว่าหากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราวแล้วจะหลบหนี ยากต่อการติดตามตัวมาดำเนินคดีในภายหลัง และเชื่อว่าจะเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานให้เกิดความเสียหายและเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน

          ทั้งนี้ศาลพิจารณาคำร้อง และสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้

          ขณะที่วันนี้ ผู้ต้องหา ยังไม่ได้มายื่นคำร้องขอประกันตัวผู้ต้องหาจึงต้องถูกนำตัวไปคุมขัง ซึ่งระหว่างที่รอส่งตัวเข้าเรือนจำ มีกลุ่มผู้สนับสนุนทั้งชาย-หญิงกว่า 10 คน ได้มายืนพูดคุยให้กำลังใจกับซินแสโชกุนว่ากำลังรวบรวมเงินเพื่อมาขอประกันตัวให้ โดยซินแสโชกุน ได้ตอบกลับว่า “ ขออย่าทิ้งกัน คิดเสียว่าเป็นญาติคนหนึ่ง ” ซึ่งมีผู้สนับสนุนหญิงบางรายถึงกับหลั่งน้ำตา ขณะที่ทุกคนพยายามบอกกับผู้ต้องหาด้วยว่า “ อย่าท้อ สู้ๆๆ ”

         กระทั่งเวลา 13.50 น.เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้ควบคุมตัว ซินแสโชกุน ผู้ต้องหา ไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง