
โฆษกอนุ.ก.ตร.สอบซื้อขายตำแหน่งเผยสรุปแน่4ก.ย.
โฆษกอนุ.ก.ตร.สอบซื้อขายตำแหน่ง เผยสรุปแน่ 4 ก.ย.เสนอรายงานลับ"สุเทพ" 7 ก.ย. พูดส่อชี้ตัวคนผิดได้ รับมีตำรวจให้การรับรู้มีการซื้อขายตำแหน่งสีกากีในวาระแต่งตั้งปี 51-52 แต่ไร้หลักฐาน ด้านอดีตผกก.แก่งกระจานแฉลือให้แซ่ดซื้อขายตำแหน่งในภ.7 "บุญเรือง"ร่อนสารชี
เมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)ผู้ทรงคุณวุฒิ ในฐานะอนุก.ตร.ตรวจสอบการซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุฯว่า วันนี้มีข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้อง 10 นายมาให้ข้อมูล ซึ่งส่วนใหญ่ยอมรับว่าเคยได้ยิน รับรู้ว่ามีการซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งแต่ก็ไม่มีใครมีหลักฐานมายืนยัน แต่รับรู้กันซึ่งพบในการแต่งตั้งในปี 2551 ที่ผ่านไปแล้ว รวมถึงการแต่งตั้งในปี 2552 ที่แม้จะยังไม่มีการแต่งตั้งเกิดขึ้น แต่ช่วงก่อนแต่งตั้งก็ยอมรับกันว่ามีเรื่องนี้ ได้รับทราบกัน
พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า อย่างไรก็ตามผลการตรวจสอบข้อมูลของคณะอนุฯเพียงพอแล้ว จะสรุปได้แน่นอนในวันที่ 4 กันยายนและรายงานผลการสืบสวนให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานก.ตร.ได้ในวันที่ 7 กันยายน แต่ผลเป็นอย่างไรเปิดเผยไม่ได้ เพราะตกลงในที่ประชุมคณะอนุก.ตร.ฯว่าจะเป็นเรื่องลับ ซึ่งผลจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในทาวที่ดีขึ้นในการแต่งตั้ง
เมื่อถามว่าผลสรุปจะระบุ มีตัวบุคคลที่มีความผิดซื้อขายตำแหน่งหรือไม่ โฆษกคณะอนุก.ตร.ฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ตกลงกันว่าไม่เปิดเผย ถ้าเปิดเผยก็ต้องบอกว่ามีใครผิดบ้าง ให้ไปคิดดูตามตรรกกะ แต่ตนเปิดเผยไม่ได้ อยากรู้ว่าผลจะเป็นอย่างไรต้องไปถาม ผกก.ท่านนี้( ชี้ไปทาง พ.ต.อ.มโนรถ สิทธานนท์ ผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลตำรวจ )ซึ่งมาให้ข้อมูลกับคณะอนุฯ ผลออกมาเป็นแนวทางนี้
ด้าน พ.ต.อ.มโนรถ กล่าวว่า ตนมาให้ข้อมูลกับคณะอนุฯ เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการแต่งตั้งโยกย้าย โดยคำสั่งแต่งตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมาตนโดนย้ายจากผกก.สภ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี มาเป็นผกก.ที่วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ โดยย้ายแบบยกเว้นหลักเกณฑ์ด้วย เพราะอยู่ในตำแหน่งเดิมเพียง 1 ปี 15 เท่านั้น ไม่ถึง 2 ปีตามกฎก.ตร.ฯ ทั้งที่ตนไม่เคยรู้งานโรงพยาบาลตำรวจ ทำงานสืบสวนสอบสวนปราบปรามมาโดยตลอด สมัยเป็นผกก.สภ.แก่งกระจานก็จับกุมคดีสำคัญได้รับเกียรติบัตรชมเชยจาก พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ภ.7 ในขณะนั้น กระทั่งมาในยุค พล.ต.ท.ถวิล สุรเชษฐพงษ์ เป็น ผบช.ภ.7 ก็ถูกย้ายมาโรงพยาบาลตำรวจสลับกับพ.ต.อ.สมพร ธรรมอนันต์ ที่มาจากโรงพยาบาลตำรวจ ตรงนี้ตนจึงมองว่าถูกโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งน่าจะมีอะไรที่ผิดปกติ โดยตนร้องเรียนต่อ ก.ตร.ไปแล้วตั้งแต่มีคำสั่งย้ายใหม่ๆ
"บุญเรือง"ร่อนสารชี้แจงอภิสิทธิ์งบโฆษณา18ล้านถูกต้อง
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ ผช.ผบ.ตร.ได้มีหนังสือ ที่ 0001(ปป31)/119 เรื่องของความเป็นธรรมเกี่ยวกับการีแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กรณีสื่อมวลชนรายงานข่าวว่านายกรัฐมนตรีจะทำการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีต ผบ.ตร.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และ ตนเอง ในข้อหากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีการจ้างโฆษณาและเผยแพร่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วงเงิน 18,697,000 บาท
โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า ขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาว่า เรื่องนี้เป็นการกล่าวหาในลักษณะบัตรสนเท่ห์ ไม่ปรากฏชื่อผู้ร้องเรียน เพียงอ้างว่าเป็นบริษัทประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตรายการกับส่วนราชการ เนื้อหาของบัตรสนเท่ห์เป็นลักษณะเลื่อนลอย ซึ่งตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริง พ.ศ.2547 ข้อ4(4) กำหนดว่า ตามปกติการร้องเรียนกล่าวโทษข้าราชการตำรวจว่ากระทำผิดวินัยในลักษณะเป็นบัตรสนเท่ห์ ห้ามมิให้รับฟัง เว้นแต่บัตรสนเท่ห์นั้นระบุข้อเท็จจริงพยานหลักฐานกรณีแวดล้อมและหรือระบุพยานบุคคลพยานวัตถุหรือพยานเอกสารทั้งบัตรสนเท่ห์ฉบับนี้มีข้อพิรุธหลายประการที่ชี้ให้เห็นว่าเป็นการจัดทำเพื่อกลั่นแกล้งกล่าวหาพวกกระผมดังนี้
เป็นบัตรสนเท่ห์ที่ไม่ปรากฏตัวตนของผู้ร้อง ทั้งนี้เนื้อหาของผู้ร้องระบุว่าบริษัทถูกกีดกันไม่ให้สามารถเข้ายื่นเสนอราคาเพื่อแข่งขัน ผิดวิสัยของบริษัทที่เสียผลประโยชน์ หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ต้องเสนอข้อมูลในฝ่ายของตนที่จะทำให้บริษัทได้รับผลประโยชน์ โครงการนี้มีการดำเนินการเสร็จสิ้นตั้งแต่เดือน ก.ย.2548 แต่เพิ่งมาร้องเรียนเมื่อวันที่28 พ.ย.2550 ระยะเวลาห่างกันถึงสองปี หากบริษัทผู้ร้องมีตัวตนจริงและไม่ได้รับความเป็นธรรมจริง ก็จะต้องมีการร้องเรียนหรือร้องของความเป็นธรรมในช่วงเวลาเกิดเหตุหรือหลังเกิดเหตุไม่นาน ไม่น่าจะปล่อยให้เนิ่นนานเช่นนี้ บัตรสนเท่ห์ฉบับนี้ไม่ได้ผ่านหน่วยงานที่รับผิดชอบงานสารบรรณและไม่ปรากฏหลักฐานสารบบการส่งรับเอกวารทางราชการ
ลักษณะของตัวอักษรที่ปรากฏในบัตรสนเท่ห์ตลอดถึงการประมวลเรื่องและเอกสารพิจารณาการสั่งการมีลักษณะของการพิมพ์จากเครื่องพิมพ์เดียวกัน ซึ่งการตรวจลักษณะเอกสารตามเอกสารดังกล่าวนี้ ท่านสามารถส่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าวทุกฉบับไปทำการตรวจพิสูจน์ได้ที่กองพิสูจน์หลักฐานสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
อีกทั้งตามกฎหมายแล้วการจัดจ้างโฆษณาและเผยแพร่งานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3รายการนั้นเป็นการจ้างด้วยวิธีพิเศษได้ตามข้อ 24(1)และ(3)และข้อ58(1) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุพ.ศ.2535 โดยวิธีพิเศษของระเบียบดังกล่าว โดยไม่ต้องดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ และทางปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีก็ได้มีหนังสือลับมากที่ นร0106/123 ลงวันที่ 24 มี.ค.2552 ถึงรองนายกรัฐมนตรี(นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) พิจารณาข้อกฎหมายในลักษณะเดียวกันดังกล่าว เสนอนายกรัฐมนตรีไว้แล้วเช่นกันจึงสามารถทำได้ ปรากฏตามข้อความในบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องหารือปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เรื่องเสร็จที่ 524/2552 และการใช้จ่ายเงินเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำเป็นประจำทุกส่วนราชการ การร้องเรียนกล่าวหาเกี่ยวเงินก็มีอยู่ทั่วไปเช่นกัน แต่การร้องเรียนกล่าวหาที่จะรับฟังนำมาดำเนินการทางวินัยได้ต้องมีพยานหลักฐานที่น่ารับฟังพอสมควร แต่เรื่องนี้ดังที่นำเสนอมาไม่มีหลักฐานสนับสนุนเลย มีแต่คาดเดาเอาเอง เป็นการชัดเจนว่าเป็นการกลั่นแกล้งใส่ร้ายโดยตรง อีกทั้งมีการข่มขู่บังคับว่าจะมีการดำเนินคดีอาญากับผู้บังคับบัญชา หากไม่ดำเนินการทางวินับกับกระผม
กระผมรับราชการมานานกว่า30ปี ตั้งใจปฏิบัติราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ยึดระเบียบและกฎหมายเป็นหลักในการทำงาน มีความก้าวหน้าในอาชีพการงาน จนใกล้จะครบเกษียณอายุราชการแล้ว หากในครั้งนี้ท่านในฐานะผู้บังคับบัญชาจะมีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกระผมกับพวก โดยถือเอาการกลั่นแกล้งกล่าวหาที่มีจุดเริ่มต้น มาจากมีผู้นำบัตรสนเท่ห์ที่เลื่อนลอย ไม่มีการระบุข้อเท็จจริง ทั้งมิได้สอบสวนพยานบุคคล หากมีการนำเอาข้อความในบัตรสนเท่ห์มาเป็นมูลในการออกคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกับพวกกระผมแล้ว ก็จะทำให้กระผมหรือแม้แต่ข้าราชการตำรวจทั่วไปเกิดความรู้สึกขาดขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เฉกเช่นเดียวกันกับที่ท่านนายกรัฐมนตรี ก็ถูกผู้ไม่หวังดีกลั่นแกล้งให้เสียหายปรากฏตามข่าวทางสื่อมวลชนอยู่ในขณะนี้ โดยนำคลิปเสียงของท่านไปสร้างภาพให้เห็นว่าท่านเป็นคดีไม่ดี ทั้งที่น่าเชื่อว่าคลิปเสียงดังกล่าวเป็นการตัดต่อมา
กระผมในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจความรู้สึกของท่านเป็นอย่างดีที่ต้องถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายในครั้งนี้เพราะก็เป็นเช่นเดียวกับที่กระผมถูกกลั่นแกล้งเช่นกัน ดังนั้นในกรณีของกระผมครั้งนี้ เมื่อท่านนายกรัฐมนตรีทราบความจริงทั้งหมดแล้ว ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดได้ว่าไม่มีข้อเท็จจริงที่จะต้องสืบสวนเพิ่มเติมเพราะฉะนั้นเหลือเพียงประเด็นข้อกฎหมายเท่านั้น ซึ่งทางสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยนายนัที เปรมรัศมี ได้มีบันทึกสำนักนายกรัฐมนตรี ลับมากที่ นร.0106/123 ลงวันที่ 24 มี.ค.2552 สรุปว่า กระผมและพวกไม่ได้กระทำความผิดวินัยตามข้อกล่าวหาแต่อย่างใด อนึ่งกระผมได้ยื่นฟ้อง ผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ในข้อหาหมิ่นประมาท จำนวน 2 รายไว้ที่ ศาลจังหวัดนครพนม หมายเลขคดีดำที่ 1128/2552 และอยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องในการใส่ร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 และอื่นๆ กระผมจึงใคร่ของความกรุณาและความเมตตาจากท่านในฐานะผู้บังคับบัญชา