ข่าว

ยกฟ้อง“ส.ทักษิณ”คดีฆ่า“ไมเคิล วันสเลย์”

ยกฟ้อง“ส.ทักษิณ”คดีฆ่า“ไมเคิล วันสเลย์”

02 ก.ย. 2552

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้อง “ส.ทักษิณ” คดีฆ่า “ไมเคิล วันสเลย์” ปมแฉแต่งบัญชีทุจริตใน รง.น้ำตาลเกษตรไทย ระบุพยานให้การขัดแย้งกัน แต่สั่งขังระหว่างรอฎีกา ขณะที่ญาติยื่นประกันสำเร็จ

 เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 กันยายน ที่ห้องพิจารณาคดี 714 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ ด. 2404/2546 ที่พนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายพิเชษฐ์ แก้วสามดวง หรือทักษิณ หรือ ส.ทักษิณ หรือน้อง อายุ 40 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา 288, 286 และ 371 และความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2490

 คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2546 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2542 เวลากลางวัน จำเลยมีเจตนาฆ่านายไมเคิล เออร์วิน วันสเลย์ อายุ 58 ปี หัวหน้าฝ่ายตรวจสอบบัญชีของบริษัท เซ้าท์สาทร แพลนเนอร์ จำกัด มีนายสมชาย ใจห้าว จำเลยร่วมในคดีนี้ ซึ่งศาลจังหวัดนครสวรรค์มีคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต เป็นผู้ขับขี่จักรยานยนต์ แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนขนาด 11 มม. ยิงผู้ตาย 8 นัด กระสุนถูกศีรษะและลำตัวจนเสียชีวิตคารถตู้ เหตุเพราะผู้ตายตรวจสอบพบการทุจริตของโรงงานน้ำตาลเกษตรไทยที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ เหตุเกิดที่บริเวณถนนทางเข้าโรงงานน้ำตาลเกษตรไทย ต.หนองโพ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

 โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2551 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากพยานโจทก์ยังมีความสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาอัยการยื่นอุทธรณ์ ขณะที่จำเลยยื่นประกันและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี

 ภายหลังศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวน ประชุมหารือกันแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติว่า วันและเวลาเกิดเหตุ ผู้ตายและคณะโดยสารรถตู้ไปร่วมประชุมคณะผู้บริหารโรงงานน้ำตาลเกษตรไทย เมื่อไปถึงถนนทางเข้าโรงงาน นายสมชาย ใจห้าว (จำเลยร่วมที่ศาลจังหวัดนครสวรรค์พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต) กับพวก ขี่รถจักรยานยนต์ประกบรถตู้แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย

 คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดกับนายสมชายหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นคนยิงผู้ตาย คงมีเพียงบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของนายสมชายที่เป็นผู้กระทำความผิด ที่ยอมรับว่านายสมชายเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ จำเลยนั่งซ้อนท้ายและเป็นคนยิงผู้ตาย ซึ่งคำให้การของนายสมชายถือเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิด จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง

 ส่วนพยานโจทก์อื่นซึ่งพยานร่วมกระทำผิดที่พนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยาน, พนักงานโรงงานน้ำตาล และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่เบิกความว่าเห็นนายสมชายนำรถจักรยานยนต์มาจอดที่วัดหนองโพ บริเวณทางเข้าโรงงาน และเบิกความว่าเคยเห็นหน้าจำเลย ก็เป็นพยานแวดล้อม ซึ่งเคยเห็นหน้าจำเลยเพียงครั้งเดียว ขณะที่จำเลยไม่มีลักษณะพิเศษแตกต่างบุคคลทั่วไป

 นอกจากนี้พยานโจทก์ยังเบิกความว่าขัดแย้งกันเกี่ยวกับวันและเวลาที่นายไมเคิลถูกยิง ส่วนหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ผู้ร่วมกระทำผิดใช้ติดต่อที่พยานโจทก์เบิกความถึง ก็ได้ความว่ามีบุคคลอื่นจดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่อง ไม่มีชื่อของจำเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงยังน่าสงสัยอยู่ว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างฎีกา

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษา นายพิเชษฐ์ซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวลายทาง กางเกงยีน ที่ได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ ได้โผเข้ากอดญาติและเพื่อนที่เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาประมาณ 10 คน ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนายพิเชษฐ์ไปยังห้องคุมขังใต้ถุนศาล

 ขณะที่ญาติของนายพิเชษฐ์ได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวเป็นห้องอาคารชุดย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี เนื้อที่ 28.40 ตารางเมตร ราคาประเมิน 440,200 บาท พร้อมเงินสดอีก 6 หมื่นบาท รวมราคาทั้งสิ้น 500,200 บาท ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยระหว่างฎีกา โดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท

 อย่างไรก็ดี สำหรับอัยการโจทก์และญาติของนายไมเคิล ผู้เสียหายนั้น ไม่ได้เดินทางมาศาลร่วมฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด

 ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า คดีฆ่านายไมเคิล ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2549 ศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายบุญพรรณ สุทธิวิริวรรณ และให้ประหารชีวิต นายสมโชค สุทธิวิริวรรณ น้องชายนายบุญพรรณ และนายสมพงษ์ บัวสกุล หรือพงษ์ ปากพนัง จำเลยคดีจ้างวานฆ่า และร่วมกันฆ่านายไมเคิลโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนอีกสำนวน โดยให้ยกฟ้องนายประดิษฐ์ ศิริวิริยะกุล กรรมการบริหารโรงงานน้ำตาลเกษตรไทย ในความผิดฐานจ้างวานฆ่า