
กล้องวงจรปิด ทหารวิสามัญลาหู่ ยังไม่ตอบโจทย์ !!
ผบ.ทบ.รับ ดูกล้องวงจรปิด ทหาร วิสามัญ “นักกิจกรรมชาวลาหู่” ชี้ยังไม่ตอบโจทย์ ใช่หรือไม่ใช่ หวั่นเผยแพร่สังคมวิจารณ์ เรื่องไม่จบ
ผบ.ทบ.รับ ดูกล้องวงจรปิด ทหาร วิสามัญ “นักกิจกรรมชาวลาหู่” ชี้ ยังไม่ตอบโจทย์ ใช่หรือไม่ใช่ หวั่น เผยแพร่สังคมวิจารณ์ เรื่องไม่จบ รอกระบวนการยุติธรรม อย่าใช้กระแส หากทหารทำเกินกว่าเหตุ ต้องรับผิดชอบ พร้อม ติง มทภ.3 ระวังคำพูด
28 มี.ค. 60 - พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าเจ้าหน้าที่ทหารทำเกินกว่าเหตุในประเด็นวิสามัญนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ ว่า ในเวลานี้คดีดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตนได้ชี้แจง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม แล้ว หลังเกิดเหตุการณ์ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว ซึ่งตนได้ถูกสำนักข่าวหนึ่งทวงติงว่าเป็น ผบ.ทบ.ไม่ควรสรุปเหตุการณ์แบบนั้น ดังนั้นเมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วก็เป็นเรื่องพยานหลักฐานของแต่ละฝ่าย
พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า คดีดังกล่าวได้แยกเป็น 2 คดีโดยกองทัพบกพร้อมทำหน้าที่ หากผู้ใต้บังคับบัญชาของตนกระทำการเกินกว่าเหตุก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชี้แจงนั้น ตนคิดว่าตราบใดที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินลงมาก็ไม่ควรกล่าวหาว่าใครเป็นอย่างไร ส่วนที่มีการตั้งคณะกรรมการกองทัพภาคที่3 ขึ้นมาตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วยนั้น เป็นการสอบสวนคู่ขนานเมื่อสังคมเกิดความสงสัย โดยเป็นการตรวจสอบภายใน
พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการได้รายงานผลการสอบสวนเบื้องต้นมาให้ตนรับทราบแล้ว แต่ไม่ควรพูด เพราะจะเป็นการชี้นำคดีและคิดว่าไม่จำเป็นต้องนำผลสรุปของคณะกรรมการดังกล่าวไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการระบุว่า จะมีการเปิดเผยภาพเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิด (ซีซีทีวี) แต่ตอนหลังกลับนำภาพดังกล่าวส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ไม่ได้พูดว่าให้เปิดเผยหรือไม่เปิดเผย แต่มีภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานประกอบคดี ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและพิจารณาเปิดเผยหรือไม่ ตนไม่มีปัญหา ซึ่งในเวลานี้ตนจะพยายามพูดถึงเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด เพราะต้องปล่อยให้เดินไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม
เมื่อถามต่อว่า มีหลายกระแสเรียกร้องให้เปิดภาพจากกล้องวงจรปิด พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ตนไม่สนใจกระแส เพราะเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม ไม่ขอก้าวก่าย อะไรก็ตามที่อาจพูดไปแล้วจะกระทบหรือทำให้พนักงานเจ้าของคดีทำงานลำบากก็ไม่ควรพูด ทั้งนี้ส่วนตัวได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว และเห็นว่าไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมด หากมีการเปิดให้หลายคนดูก็เกรงว่าจะเกิดปัญหาต่างคนต่างมองประเด็นที่แตกต่างกัน
เมื่อถามย้ำว่า ส่วนตัวที่ดูภาพแล้วเกิดข้อสงสัยหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ตนสงสัยไม่ได้ เพราะถ้าสงสัยก็จะไปรบกวนการดำเนินคดีของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภาพวงจรปิดไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมดว่า ใช่หรือไม่ใช่ อย่างไร ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมดำเนินการไป อย่าใช้กระแส ถ้าหลักฐานชัดเจนว่ากระทำการเกินกว่าเหตุ พลทหารคนดังกล่าวและหน่วยต้นสังกัดก็จะต้องรับผิดชอบ เรื่องกล้องวงจรปิดถือว่าจบ เมื่อถึงขั้นตอนการดำเนินคดี ตนจะไม่ไปแทรกแซงหรือสั่งเขาว่าให้ดูหรือไม่ให้ดู ขอให้สังคมรออีกนิด เนื่องจากเป็นเรื่องของความยุติธรรม
เมื่อถามถึงกรณีที่สมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยยื่นเรื่องกับผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ตรวจสอบจริยธรรม พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ที่ระบุว่า “ถ้าเป็นผม ผมอาจกดออโต้ไปแล้วก็ได้”นั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว่า ยินดีให้ตรวจสอบ แต่ตนก็เข้าใจแม่ทัพภาคที่ 3 ที่พูดแบบนั้นหมายความว่า ลูกน้องมีวินัยและฝึกมาดีจึงยิงไปแค่นัดเดียว ถ้าเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ก็อาจจะหลุดออโต้ออกไป โดยพยายามสื่อว่าลูกน้องฝึกมาดี แต่เมื่อมีการตัดประโยคนี้ออกไปก็ทำให้ดูเป็นคนก้าวร้าวและรุนแรง ซึ่งลักษณะนี้อยู่ที่การตีความ
"ผมคิดว่าสังคมเข้าใจแม่ทัพภาคที่ 3 ว่าคิดอะไร หากมีคนต้องการหยิบไปเป็นประเด็นก็จะเกิดประเด็น เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเสมอกับผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์เป็นเรื่องปกติของการตีความ บางครั้งอยู่หน้ากล้องสื่อมวลชนอาจรู้สึกตื่นเต้นคิดจะพูดอีกแบบ แต่อาจพูดไม่ครบก็ไปเข้าล็อคจนเกิดการตีความ แต่ทั้งนี้แม่ทัพภาคที่ 3 ก็ยอมรับสิ่งที่พูดว่าเจตนาแบบหนึ่ง แต่เมื่อสังคมสงสัยแบบหนึ่งก็สามารถดำเนินการได้ ผมได้บอกว่าการมาอยู่ตรงนี้เรื่องการพูดจาต้องระมัดระวัง เพราะบางทีความจริงใจอาจใช้ไม่ได้ในทุกสถานการณ์" ผบ.ทบ.กล่าว
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าคดีก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นก็มีลักษณะคล้ายกัน พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ทุกเรื่องก็ต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อพิสูจน์ทราบ หากเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องรับผิดชอบ ตนจะไม่โอบอุ้มอย่างเด็ดขาด กองทัพต้องยืนในจุดที่เหมาะสม.