ข่าว

อียูแบน “ฮิญาบ” สะเทือน “ทหารหญิงมุสลิมไทย”

อียูแบน “ฮิญาบ” สะเทือน “ทหารหญิงมุสลิมไทย”

20 มี.ค. 2560

รายงานพิเศษ


 
                    เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมา “ศาลยุติธรรมยุโรป” (The European Court of Justice) มีคำพิพากษาที่ส่งผลกระทบต่อ “หญิงมุสลิม” ทั่วยุโรป ทำให้เกิดความรู้สึกหวั่นไหวจากการถูกกีดกันออกจากสัญลักษณ์ที่ตนศรัทธา...
                    คำตัดสิน คือ ให้สิทธินายจ้างห้ามพนักงานสวมสัญลักษณ์ทางศาสนาหรือการเมือง ระหว่างทำงานได้
                    ความเป็นมาของเรื่องนี้ เกิดจากพนักงานหญิงชื่อ “ซามิรา อัชบิตา” ชาวเบลเยียม ทำงานแผนกต้อนรับประจำบริษัท จีโฟร์เอส ซีคิว โซลูชันส์ ถูกนายจ้างขอร้องให้ถอดผ้าคลุมศีรษะ หรือ ฮิญาบ แต่เธอไม่ยอมถอด บริษัทจึงตัดสินใจ “ไล่ออก” โดยอ้างกฎว่า "ห้ามพนักงานบริษัทสวมเครื่องหมายสัญลักษณ์ทางศาสนาหรือทางการเมือง”
                    เช่นเดียวกับคดีที่สองเกิด ขึ้นเมื่อปี 2009 “แอสมา” วิศวกรซอฟต์แวร์หญิงชาวฝรั่งเศส ปกติในที่ทำงานก็ใส่ผ้าคลุมศีรษะมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งต้องไปร่วมทีมทำงานกับลูกค้า ซึ่งภายหลังลูกค้าแจ้งเธอและหัวหน้าว่าหากจะมาทำงานกับทีมของเขาขอให้ไม่ใส่ผ้าคลุมศีรษะ เพราะสร้างความอับอายและแปลกแยกในทีมลูกค้าเป็นอย่างมาก
                    เจ้านายขอร้องให้ “แอสมา” ทำตามความต้องการของลูกค้า แต่เธอไม่ยอมและเลือกที่จะยื่นฟ้องบริษัทไปยังศาลสูงของฝรั่งเศส ต่อมาศาลฝรั่งเศสส่งต่อคดีไปให้ “ศาลยุติธรรมยุโรป” จนในที่สุดคำตอบคือ นายจ้างมีสิทธิไล่ออกได้กรณี สวมสัญลักษณ์ทางศาสนา
                    ประเด็นนี้จึงร้อนแรงขึ้นมา กลายเป็นการถกเถียงอย่างดุเดือดในกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนว่า ผ้าคลุมนี้ ทำให้เกิดความรู้สึก “ปกป้องหรือแปลกแยก” ? ควร “ห้าม–ไม่ห้าม” ?
                    หากใครมีโอกาสได้ไปเยือนดินแดนหรือชุมชนของผู้นับถือศาสนาอิสลาม ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะสังเกตการแต่งตัวของผู้หญิงมุสลิมว่ามี 2 แบบแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว อย่างในดินแดนตะวันออกกลางบางประเทศดำสนิทไม่เห็นแม้ดวงตา เช่น ประเทศบาห์เรน แต่ในเอเชียสาวมุสลิมจะใส่สีสันสดใสลวดลายแพรวพราวเต็มอัตราศึก เช่น มาเลเซีย ไทย โดยเฉพาะผ้าคลุมศีรษะที่พัฒนาด้านดีไซน์จนกลายเป็นแฟชั่นระดับโลก


                    “ผ้าคลุมศีรษะ”  หรือ “ฮิญาบ” เป็นเครื่องแต่งกายที่ถูกบัญญัติไว้ในคำสอนของศาสนาอิสลามว่า “โอ้ นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้าและบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลเลาะห์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัล-กุรอาน 33:59)


                    “ฮิญาบ” แปลว่า “การปิดกั้น” เสมือนการป้องกันตัวเองไม่ให้ความไม่ดีไม่งามเข้ามาทำร้าย หรือทำให้เสื่อมเสีย ดังนั้น “ฮิญาบ” ไม่ใช่แค่ผ้าคลุมศีรษะ แต่คือสัญลักษณ์และอัตลักษณ์ที่สื่อสารความหมายบางอย่าง จนกลายเป็นประเด็นการเมืองระดับโลกมาตลอด หลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ “ฮิญาบ” ซับซ้อนเกินกว่าจะเป็นแค่ผ้าปิดกันความไม่ดีงาม


ผู้หญิงมุสลิมอยากใส่หรือไม่อยากใส่ ?


                “บางคนอยากใส่แต่ไม่ได้ใส่”  เพราะบางประเทศถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เช่น ฝรั่งเศส หรือนอร์เวย์ ที่ห้ามแต่งกายแบบปิดหน้าในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เนื่องจากมองว่าเป็นการปิดหน้าในที่สาธารณะเป็นการเอาเปรียบผู้อื่น และมีพฤติกรรมน่าสงสัย มีการปิดบังใบหน้าและจมูก
                "บางคนไม่อยากใส่แต่ต้องใส่” เช่น ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง หากผู้หญิงไม่ใส่อาจโดนก้อนหินขว้างและถูกแจ้งให้ตำรวจจับ หรือผู้หญิงมุสลิมในไทยที่ไม่อยากใส่ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไม่สะดวกในการทำงาน หรือ ไม่อยากสร้างความรู้สึกแตกต่างหรือแปลกแยกเวลาอยู่กับผู้หญิงอื่น เช่นเมื่ออยู่ในบ้านเกิดที่ภาคใต้ก็ใส่ แต่พอขึ้นรถมาทำงานที่กรุงเทพฯ ก็ถอดออก
                สำหรับประเทศไทยนั้น พื้นที่ชายแดนภาคใต้ก็มีประเด็นปัญหาการใส่ฮิญาบของหญิงมุสลิมเช่นกัน ช่วงเดือนมกราคม 2559 ตัวแทนชมรมทหารหญิงอิสลามชายแดนใต้ได้ร่างหนังสือยื่นถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขออนุมัติให้ทหารหญิงที่ปฏิบัติภารกิจสามารถสวมใส่ผ้าคลุมได้ตามหลักศาสนาอิสลาม และป้องกันฝ่ายขบวนการก่อความไม่สงบกล่าวหารัฐบาลว่าไม่เคารพหลักศาสนาอิสลาม
                แต่ “พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์” โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า การแต่งกายของทหารหญิงต้องเป็นไปตามระเบียบของกระทรวงกลาโหม และหากทางทหารหญิงมุสลิมร้องขออย่างเป็นทางการก็อาจให้ผู้ที่มีอำนาจรับพิจารณาดำเนินการเป็นกรณีไป
แม้คำตอบจากฝ่ายกองทัพยังไม่ชัดเจน แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานราชการหลายแห่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใส่ฮิญาบได้ เช่น กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขหญิงที่นับถือศาสนาอิสลามคลุมผ้าคลุมศีรษะขณะปฏิบัติงานในหน่วยบริการได้ ถือว่าเป็นไปตามสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา
                จากวันนี้ไปหน่วยงานรัฐของไทยอาจต้องเรียนรู้คำสั่ง “ศาลสหภาพยุโรป” ที่ระบุว่า หากหน่วยงานหรือบริษัทใดต้องการแสดงเจตนาว่ามีจุดยืนเป็นกลาง “ห้ามสวมใส่สัญลักษณ์ทางศาสนา” ก็ต้องห้ามสัญลักษณ์ของศาสนาอื่นด้วย เช่น พระพุทธรูป ไม้กางเขน หมวกคิปปาห์ของชาวยิว หรือผ้าโพกศีรษะของชาวซิกข์ หมายความว่า ถ้ายึดตามเจตนานี้ ควรห้ามพนักงานห้อยพระพุทธรูป หรือใส่ไม้กางเขนในลักษณะที่ผู้อื่นสามารถมองเห็นได้ด้วย
                เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2559 สถาบันวิจัยพิว (Pew) สำรวจความคิดเห็นกลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมในหลายประเทศด้วยคำถามว่า อยากให้ผู้หญิงแต่งกายอย่างไรในที่สาธารณะ? ปรากฏว่าเกือบครึ่งหนึ่งเห็นว่า “ผู้หญิงควรมีเสรีภาพในการเลือกด้วยตัวเอง” ชาวตูนิเซียเห็นด้วย 56% ตุรกี 52% เลบานอน 49% ส่วนในอิรัก 27% ปากีสถาน 22% และอียิปต์ผู้เห็นด้วยน้อยสุด 14%
                 คำตอบง่ายๆ คือ ให้ผู้หญิงตัดสินใจเองว่า “อยากสวมหรือไม่” ไม่เช่นนั้นผู้ชายจะไว้หนวดไว้เคราก็ควรขออนุญาตก่อนเช่นกัน เพราะทำให้หน้าตาดูคล้ายโจรผู้ร้าย ไม่น่าไว้วางใจ....